‘ปัญหาสังคม’ ในเมืองไทยถือเป็นเรื่องที่ (เคย) ถูกละเลยในสายตาของวัยรุ่น อาจจะหยิบยก ‘ยุคสายลมแสงแดด’ ในอดีตที่ผ่านมาเมื่อประมาณปี พ.ศ.2516 เป็นห้วงเวลาที่คนหนุ่มสาวไร้ซึ่งมุมมองทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคม เอาแต่มุ่งสู่ความบันเทิงเริงรมย์ ไม่สนใจถึงปัญหาที่เกิดขึ้นอยู่รอบตัว
เหตุการณ์ที่สั่นสะเทือนสังคมไทยที่หลายคนอาจจะเคยได้ยินได้ฟังมา เช่น การทุจริต ความไม่เป็นธรรม และอำนาจมืด หากเราใส่ใจสังเกต เราอาจจะมองเห็นว่าเรื่องราวเหล่านี้เกิดขึ้น และไม่อาจหยุดยั้งเพียงแค่พลังเสียงจากผู้แสวงหาความเป็นธรรมเพียงไม่กี่คน
ความคิดทางสังคมที่ออกจากเบ้าหลอม และพยายามสร้างการเปลี่ยนแปลงเชิงบวกให้กับสังคม อาจเป็นสิ่งท้าทายในการแก้ปัญหาเพื่อให้เห็นทางออกที่เป็นรูปธรรม จับต้องได้ เปรียบดั่งการตีดาบด้วยความร้อนจากถ่านเพียงไม่กี่ก้อน กับกองไฟที่ใกล้มอด ซึ่งเป็นการยากที่จะเปลี่ยนเหล็กสนิมทู่ให้เป็นศาสตราวุธที่แหลมคมและทรงพลัง
อย่างไรก็ตาม ตามวัฐจักรของประชาคมย่อมมีขึ้นมีลง จากช่วงเวลาแห่งความมืดมนทางความคิดในอดีต ย่อมต้องเกิดช่วงสว่างทางปัญญา ในด้านที่มืดมน หากสังคมเกิดการเปลี่ยนแปลงไปในทางแง่ลบ ผู้มีอำนาจมุ่งหาประโยชน์ส่วนตนมากกว่าประเทศชาติ และไม่ใส่ใจถึงการทำเพื่อสาธารณะ ส่งผลให้เกิดความแตกแยกแพร่กระจายไปทุกหัวระแหง และยากที่จะหาข้อสรุปลงเอยด้วยสันติวิธี
‘ช่วงเวลารุ่งโรจน์ของคนหนุ่มสาว’ ตื่นรู้กับชีวิต เข้าใจชีวิต จึงถือกำเนิดขึ้นนับตั้งแต่ ‘ยุคเดือนตุลา’ ซึ่งเกิดจากการรวมตัวของมวลชน ‘วัยแสวงหา’ ที่ไม่ยอมนิ่งเฉยปล่อยสังคมให้เป็นไปตามยถากรรมอีกต่อไป
‘พลังงานเงียบ’ ของ ‘คนหนุ่มสาว’ จึงค่อย ๆ ผุด ออกมาจากมโนธรรมสู่การกระทำที่เกิดจาก ‘ความตื่นตัวทางสังคม’ ด้วยแรงขับเคลื่อนที่เรียกว่า ‘พลังหนุ่มสาว’ มีกรณีสำคัญมากมายที่ภาคีนิสิตนักศึกษาจับมือกับภาคประชาชนออกมาต่อสู้กับอำนาจที่ไม่เป็นธรรม และมีหลายเหตุการณ์ที่ได้สถาปนาชัยชนะด้วยพลังที่ขาวสะอาด
ดังนั้นจึงเห็นได้ว่า ไม่ว่ายุคใดสมัยใด กลุ่มคนรุ่นใหม่ได้ออกมามีส่วนร่วมทางสังคมตามอัตวิสัย ทั้งในระดับปัจเจก และในระดับมวลชน ถือเป็นการแสดงพัทธสัญญาของคนหนุ่มสาว ต่อบทบาททางสังคมที่ชัดเจน และสืบเนื่องมาจนถึงปัจจุบัน
การเติบโตอย่างรวดเร็วของเทคโนโลยีในยุคดิจิทัล กลายเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้การเข้าถึงและรับ – ส่ง ข้อมูลข่าวสารเป็นเรื่องที่ง่าย รูปแบบการแสดงออกทางความคิดของคนหนุ่มสาวจึงเกิดความเปลี่ยนแปลงไป อาทิ จากการออกมาเดินเรียกร้องบน ‘ท้องถนน’ สู่การพิมพ์ข้อความบน ‘โลกออนไลน์’
การมีโอกาสเรียนรู้ และเข้าถึงช่องทางการเคลื่อนไหวทางสังคมในรูปแบบใหม่ผ่านเครื่องมือที่เข้ากับยุคสมัย ถือเป็นการเพิ่มพื้นที่ให้กับคนรุ่นใหม่ได้แสดงออกอย่างเสรี และมีเอกภาพ รวมถึงยังสะท้อนให้เห็นว่า ในความเป็นจริงแล้ว คนหนุ่มสาวยังคงให้ความสำคัญกับเรื่องการเมืองและสังคม เพียงแต่รอเวลาที่จะสื่อสารออกไปในช่วงที่เหมาะสม และสร้างให้เกิดการเปลี่ยนแปลง
แม้คนรุ่นใหม่จะถือได้ว่า ‘จัดเจน’ เรื่องของการใช้เทคโนโลยี แต่ก็ยัง ‘ตกเป็นเหยื่อ’ ของ ‘ข่าวปลอม’ ซึ่งเกิดจากความละเลยในการตรวจสอบแหล่งข้อมูล ขาดความรู้ ความเข้าใจ และไม่ได้คำนึงถึงจริยธรรม ส่งผลให้ ‘เสียง’ ของ ‘เมล็ดพันธุ์ของสังคม’ ไม่มีน้ำหนักมากพอที่จะกู่ร้องหรือตั้งคำถามกับ ‘อำนาจมืด’ ได้
ความเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นส่งผลให้ ‘หนุ่มสาวเสรี’ ใน ‘ยุคดิจิทัล’ จะต้องสร้างพลังด้วยการหมั่นศึกษาหาข้อมูลข่าวสาร ความรู้ และเชื่อในเรื่องของ ‘ข้อเท็จจริง’ เพื่อรักษา ‘อำนาจต่อรอง’ และการเป็น ‘ผู้สะท้อนสังคม’ ที่มีคุณภาพ อันเปรียบเสมือนคลื่นอีกหนึ่งลูกที่ไหลรวมกันเป็นมวลน้ำมหาศาล คอยโหมซัดเข้าริมชายฝั่ง เพื่อสร้างความพุพังให้กับตลิ่งที่มีชื่อ ‘ความอยุติธรรม’ ด้วยกำลังของ ‘มโนธรรมในหัวใจ’ ของวัยแสวงหา
ดั่งเช่นคำเปรียบเปรยที่ว่า คนหนุ่มสาวเปรียบเหมือนแสงอาทิตย์ยามเช้าที่เจิดจ้าร้อนแรง คอยสร้างความเจริญงอกงามให้กับพืชพันธ์ุด้วยพลังอันขาวสะอาด จากความเร่าร้อนจากธรรมชาติ (ของช่วงวัย) การปลุกให้วัยรุ่นตื่นจากความหลับใหล หันมาใส่ใจสังคม ความเป็นไปของโลก และกลายเป็นแสงสว่างที่เจิดจ้า จึงต้องทำให้พวกเขาฉุกคิดเห็นความสำคัญว่า ชีวิตที่มีคุณค่าคือชีวิตที่ต้องเรียนรู้ ตระหนักรู้ และมีสติอยู่ตลอดเวลาเพื่อเปลี่ยนแปลงสังคมให้ดีขึ้น
Additional Information
ผลงานชิ้นนี้