เธอสวย งดงาม และเต็มเปี่ยมไปด้วยพลังการใช้ชีวิต แม้จะผ่านเวลามาเนิ่นนาน ทุกคนก็ยังยกให้เธอไอดอล เป็นตำนาน แห่งวงการ Hollywood อุตสาหกรรมบันเทิงของประเทศสหรัฐอเมริกาที่มีอิทธิพลต่อคนทั่วโลก มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) ได้รับการจดจำจากผู้คนทั่วโลกในภาพของสาวผมบลอนด์สั้นในเดรสสีขาว ที่มีลมพัดมาจากด้านหน้าทำให้กระโปรงปลิวเปิดออกมา

Seven Year Itch (1955)

แน่นอนว่านี่คือภาพที่คลาสสิกและทำให้เธอกลายเป็นไอคอนตลอดกาล รอยยิ้มที่งดงาม บริสุทธิ์จริงใจ ตำแหน่งของไฝบริเวณแก้มซ้ายที่ทุกคนหลงใหล รวมถึงความเซ็กซี่ น่ารัก เย้ายวนอย่างเป็นธรรมชาติ ทว่าถึงแม้ทุกคนจะบอกว่าเธองาม ก้นบึ้งของหัวใจเธอกลับไม่ค่อยมั่นใจในความรูปทรัพย์ของเธอเลย เรามาทำความรู้จักสาวสวยผู้ยังคงความงดงามตลอดกาลคนนี้ให้มากขึ้น

โลกสร้างผู้หญิงที่ยิ่งใหญ่

เธอไม่ได้มีทุกอย่างเมื่อแรกเกิด กลับยากจนเสียด้วยซ้ำไป อีกทั้งยังไม่รู้ว่าใครเป็นพ่อโดยสายเลือดอีกต่างหาก มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) มีชื่อที่ใช้ตอนแรกเกิดว่า นอร์มา จีน มอร์เทนเซน (Norma Jeane Mortenson 1 มิถุนายน ค.ศ.1926-4 สิงหาคม ค.ศ.1962)

ชีวิตที่อาภัพทำให้เธอไม่ได้อยู่กับแม่ตั้งแต่เกิด เจ็ดปีกว่าที่เธอต้องไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมป์ ทว่าแม่ก็ไม่ทอดทิ้ง ยังคงติดต่อไปมาหาสู่ และรับเธอกลับมาเลี้ยงดูในที่สุด วันวานที่อยู่กับแม่กลายเป็นความสุข เพราะเธอเริ่มค้นพบความชอบความสนใจของตนเองจากการดูภาพยนตร์ ทำให้สนใจการแสดงมากยิ่งขึ้น เหมือนเคราะห์ซ้ำกรรมซัด อยู่กับแม่ได้ไม่นาน แม่ก็เจ็บป่วยด้วยโรคทางประสาท ทำให้เธอต้องกลับไปอยู่กับครอบครัวอุปถัมภ์ และถูกล่วงละเมิดทางเพศจากบุคคลในครอบครัว

River of No Return (1954)

มอนโรในวัยรุ่นแรกแย้ม รูปร่างหน้าตาสวยงาม ในวัย 13 ปี เธอแตกเนื้อสาว และมีหนุ่มมาแอบมอง จนในที่สุดเส้นทางของความรักก็ยิ่งชัดเจนมากขึ้น เธอได้แต่งงานตอนอายุ 16 ปี กับ เจมส์ โดเฮอร์ตี้ (James Dougherty) เป็นเจ้าหน้าที่ตำรวจชาวอเมริกัน แต่ก็ต้องเลิกกันไป ถึงแม้จะไม่ประสบความสำเร็จในเส้นทางรัก ทว่ามอนโรกลับเติบโตในเส้นทางการงาน มีแมวมองมาถ่ายรูปเธอตอนที่ทำงานในโรงงาน เพราะช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 บรรดาผู้ชายออกไปรบ ผู้หญิงจึงต้องมาทำงาน

การออกจากบ้านมาทำงานเป็นเหมือนการเปิดโลกกว้างให้มอนโร เธอก้าวเข้าสู่การเป็นนางแบบและเข้าสังกัดโมเดลลิ่งที่ชื่อว่า Bluebook Modeling การทำงานทำให้เธอต้องเลิกกับสามี เมื่อเรื่องรักไม่รุ่ง เรื่องงานจึงยิ่งประสบความสำเร็จ เธอจึงกลายเป็น มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) ใช้ชื่อนี้ในการเล่นภาพยนตร์กับค่ายหนังยักษ์ใหญ่อย่าง 20th Century Fox แจ้งเกิดในที่สุด

คนมีดวงจะดัง ทำอย่างไรก็ฉุดไม่อยู่

ดาราภาพยนตร์คือเป้าหมายของเธอ ทว่าก็มีคนอยากให้เธอไปถ่ายแบบเช่นกัน กลยุทธ์ในการใช้ชีวิตทำให้เธอต้องพยายามไขว่คว้าให้ตนเองได้ในสิ่งที่ต้องการ เมื่อได้เล่นภาพยนตร์ มอนโรเริ่มมีชื่อเสียงมากขึ้น จนมีชายหนุ่มมาติดพันและชวนเธอออกเดท วงการมายาไม่มีอะไรได้มาอย่างง่ายดาย การทำงานมีขึ้นมีลง ช่วงหนึ่งเธอขัดสน ไม่มีเงิน จนไปถ่ายภาพปฎิทินเปิดเผยเรือนร่างหรือที่เรียกกันว่าภาพนู้ด สมัยนั้นยังไม่เป็นที่ยอมรับ แต่ทว่าจากการทำงานในครั้งนั้น ทำให้เธอกลับกลายมีชื่อเสียงและเล่นภาพยนตร์อีกหลายเรื่อง

Playboy Magazine, December 1953 Single Issue Magazine-January 1, 2007

Playboy นิตยสารที่มีชื่อเสียงนำภาพของมอนโรไปขึ้นปกนิตยสารเล่มแรก การทำงานในวงการภาพยนตร์ของมอนโรก็มากขึ้นตามไปด้วย ภาพยนตร์ที่ทำให้เธอมีชื่อเสียงคือ Gentlemen Prefer Blondes (1953) เป็นเรื่องที่ว่าด้วยนางเอกสองคน คนหนึ่งเป็นผู้หญิงผมบลอนด์และอีกคนเป็นผู้หญิงผมบูลเน็ต ซึ่งจะเน้นประเด็นของผู้หญิงผมบลอนด์ที่มักจะดูไม่มีความคิด ไม่ทันคน สวยแต่รูป และก็มีเพลงที่ดังมาจากหนังเรื่องนี้เช่นกันคือ Diamonds Are a Girl’s Best Friend

การเล่นหนังของมอนโรคืออาชีพที่เธอรัก เธออยากเติบโตและพัฒนาตนเอง ไม่อยากได้รับบทผู้หญิงสวย แต่ไม่มีความคิด จึงไปพูดคุยกับทางค่ายหนัง โชคเข้าข้าง ค่ายหนังรับฟังเธอ อีกทั้งหนังเรื่องล่าสุดที่เธอแสดงก็ประสบความสำเร็จ ทำให้เธอได้รับค่าตัวเพิ่มขึ้น และก็ได้มีความรักกับชายหนุ่มอีกครั้ง เขามีชื่อว่า โจ ดิแม็กจิโอ (Joe DiMaggio) เป็นนักเบสบอลชื่อดัง กำลังมีชื่อเสียง ทั้งคู่ได้พากันไปเที่ยวญี่ปุ่น ไปถึงที่นั่นเธอตกอยู่ท่ามกลางสปอตไลท์ เพราะทุกคนให้ความสนใจเธออย่างมากมาก ขณะที่เกาหลีก็มีการเชิญเธอไปเล่นคอนเสิร์ตให้กำลังใจทหารอเมริกันที่เกาหลี ทุกคนชื่นชอบเธอมาก

ความโด่งดังของมาลิรินในการแสดงคอนเสิร์ตที่เกาหลี เป็นแรงบันดาลใจที่กลายมาเป็นภาพในมิวสิควิดีโอ I Still Believe ของ Marich Carry อีกด้วย มอนโรก็เต็มที่สุดพลัง เเม้อากาศจะหนาวแต่ก็ยังใส่ชุดเซ็กซี่เพื่อให้กำลังใจทหารให้เกิดความฮึกเหิมในการรบ

I still believe by Marich Carry

เรียนรู้และพัฒนาตนเองด้านการแสดง

ความรักที่ดูเหมือนจะไปได้ดี ก็เริ่มส่อเข้าล่มอีกแล้ว ในช่วงนี้มอนโรได้ไปเล่นหนังเช่น Seven Year Itch (1955) เป็นหนังอเมริกัน โรแมนติค คอมเมดี้ เรื่องนี้กลายเป็นภาพจำของเธอที่ยืนใส่เดรสสีขาว กระโปรงปลิวไปตามลม พร้อมรอยยิ้มที่สดใส การเล่นหนังเรื่องนี้ทำให้สามีของเธอไม่พอใจ และเลิกกันในที่สุด

Seven Year Itch (1955)

ชีวิตการทำงานของเธอในวงการภาพยนตร์ยังคงเดินหน้าต่อ การได้เล่นในบทใกล้เคียงเดิม ทำให้เธออยากจะพัฒนาตนเอง จึงตัดสินใจไปเรียนต่อด้านการแสดงที่นิวยอร์ก สหรัฐอเมริกา การเรียนรู้ด้านการแสดงเพิ่มขึ้น ด้วยวิธีการที่เรียกว่า Method acting ทำให้เธอพัฒนาฝีมือด้านการแสดง และได้รับคำชมว่าควรได้รับรางวัล Oscar

The Asphalt Jungle (1950)

ในด้านชีวิตรักเธอได้พบกับชายหนุ่มอีกคนที่มีความรู้ความสามารถ เขามีชื่อว่า อาเทอร์ มิลเลอร์ (Arthur Miller) เขาเป็นนักเขียนบทละคร ชาวยิวอเมริกัน และได้แต่งงานกัน ทว่าเขาก็ถูกกล่าวหาว่าเป็นคอมมิวนิสต์ ตอนแรกก็ปฏิเสธ สุดท้ายก็ยอมรับ เพราะไม่อยากต่อความยาวสาวความยืด ทำให้มอนโร ได้รับการจับจ้องจากสังคมว่ามีส่วนเกี่ยวข้องไปด้วย

การจากลาที่มีข้อสงสัยและเป็นความสูญเสียอันยิ่งใหญ่

การทำงานหนักทำให้เธอมีปัญหาสุขภาพ ในช่วงที่เรียนอยู่นิวยอร์ค มอนโรเริ่มมีปัญหาทางด้านระบบประสาท จึงได้ไปพบจิตแพทย์ รับประทานยานอนหลับเพื่อรักษาอาการ เธอกับสามี มิลเลอร์ อยากจะสร้างครอบครัว มีลูก แต่โชคไม่ดีที่เธอเเท้งลูกไปถึงสามครั้ง ประกอบกับความเจ็บป่วยทางจิตใจ เธอจึงโทษตัวเองที่มีลูกไม่ได้เพราะสิ่งที่เคยทำไว้ในในอดีต ทำให้สุดท้ายความสัมพันธ์ระหว่างเธอและมิลเลอร์ก็ต้องจบลง ซึ่งมีข่าวลือว่าหลังเลิกรากับมิลเลอร์ เธอคิดว่าไม่มีใครสนใจ จึงเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับ จอห์น เอฟ. เคนเนดี (John F. Kennedy) ประธานาธิบดีคนที่ 35 ของสหรัฐอเมริกา

Something’s Got to Give (1962)

การเกี่ยวข้องกับคนมีชื่อเสียง ทำให้ยิ่งได้ความสนใจจากสังคมมากขึ้น ขณะกำลังถ่ายทำภาพยนตร์เรื่องสุดท้าย Something’s Got to Give (1962) เป็นหนังอเมริกันที่ถ่ายทำไม่จบเรื่อง เพราะเธอทิ้งกองถ่ายแล้วบินไปอิสโค้ดเพื่อไปร้องเพลงอวยพรวันเกิด Happy Birthday ให้กับเคนเนดี

ค่ายหนังจำต้องไล่เธอออก ซึ่งก็ทำให้เธอเกิดความเครียดมากกว่าเดิมรวมถึงในตอนนั้นเธออยู่คนเดียว ด้วยมรสุมชีวิตที่ถาโถม สุดท้ายวันหนึ่งเธอกินยานอนหลับเกินขนาดแล้วก็เสียชีวิตที่ โรงแรมฮอลลีวู้ด รูสเวลต์ แคลิฟอร์เนีย สหรัฐอเมริกา ซึ่งก็มีคนส่วนหนึ่งคิดว่าเป็นอุบัติเหตุ เธอไม่น่าจะตั้งใจกินยาเกินขนาดและมีคนบางส่วนก็บอกว่าเธอตั้งใจฆ่าตัวตาย

อย่างไรก็ตามไม่มีใครรู้สาเหตุที่แท้จริงได้ ซึ่งก็มีทฤษฎีสมคบคิด เกี่ยวข้องกับสาเหตุการตายของเธอมากมาย อย่างหนึ่งทฤษฎีที่เป็นที่พูดถึงเป็นอย่างมากก็จะเป็นเรื่องที่เธอไปล่วงรู้ความลับอะไรของรัฐบาลในขณะนั้นจึงถูกสั่งปิดปาก โจ ดิแม็กจิโอ สามีคนที่สอง ก็ยังมีความสัมพันธ์ที่ดีกับมอนโร แม้จะหย่ากันไปแล้วและเขายังเป็นคนที่มาจัดงานศพให้เธอ ทั้งนี้เขายังนำดอกกุหลาบไปวางที่หลุมศพเธอสัปดาห์ละ 3 ครั้งเป็นเวลานานถึง 20 ปี

เป็นที่จดจำไปตลอดกาล

ชีวิตที่ต้องต่อสู้มากมาย และจบลงไปด้วยความโศกเศร้าในวัยเพียง 36 ปี เธอคือผู้หญิงสู้ชีวิตที่ได้รับการจดจำในทุกมิติ ทั้งความสวย ความรัก และหน้าที่การงาน เธอเป็นสัญลักษณ์ของความเป็นผู้หญิงที่ได้รับการจดจำไปทั่วโลก เธอกล้าเปิดเผยเรื่องการถูกล่วงละเมิดทางเพศ กล้าเรียกร้องในสิ่งที่เป็นสิทธิเสรีภาพ สร้างความเท่าเทียมให้กับผู้หญิงมีพื้นที่ยืนในสังคม ความสวยที่เธอมีเป็นเพียงเปลือกนอก สิ่งสำคัญไปกว่ารูปลักษณ์ภายนอกคือความแข็งแกร่งในจิตใจที่พร้อมจะรับมือกับอุปสรรคทุกอย่างที่เข้ามาในชีวิต

Photoplay magazine (1953)

หลายคนอาจจะมองว่า มาริลิน มอนโร (Marilyn Monroe) มีความสวย แต่ไม่ฉลาด ไม่มีความรู้ ทั้งนี้ใครจะรู้ว่านั่นเป็นเพียงภาพลักษณ์ที่ค่ายสร้างขึ้นเท่านั้น หรือเป็นเพียงสิ่งที่คนภายนอกมองและตัดสินเธอไปด้วยไม่รู้ตัว แท้จริงแล้วเธอเป็นผู้หญิงสู้ชีวิตคนหนึ่ง สู้เพื่อความฝันของตัวเอง และเป็นคนที่มีความใฝ่เรียนรู้เป็นอย่างมาก สิ่งหนึ่งที่เราได้เรียนรู้จากชีวิตของเธอคือการไม่ตัดสินคนอื่นจากภาพลักษณ์ภายนอก ลองเปิดใจให้กว้างในการเรียนรู้ชีวิตและโลกใบนี้ แล้วเราจะมีชีวิตอยู่ได้อย่างมีความหมายมากยิ่งขึ้น

Reference & Bibliography

Additional Information

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา JR413 Newspaper Workshop, JR414 Magazine Workshop, JR303 Convergence Journalism Editing ภาคการศึกษาที่ 2/2564

Writer

มีแฟนไม่ได้แปลว่าสวย beautiful ต่างหากที่แปลว่าสวย

Writer

I want to be a reporter, I want to be a writer, I want to be something that makes me earn money following my favorite stars.