นามัสเต ขอทักทายด้วยภาษาฮินดี เพราะเราจะมาแบ่งปันประสบการณ์การรับประทานอาหารอินเดียครั้งแรกในชีวิต! ซึ่งปกติแล้วถึงแม้จะเคยทานอาหารมาหลากหลายประเภท หลากหลายชนชาติ แต่เราไม่เคยมีโอกาสได้ลิ้มรสชาติอาหารอินเดียเลยสักครั้ง

อาหารอินเดียแสดงถึงวัฒนธรรม การใช้ชีวิต และความงดงามแบบวิถีของคนตะวันออกที่ถ่ายทอดผ่านเมนูอาหารที่มีหลากหลายวัตถุดิบ หลากหลายรสชาติ รวมถึงขึ้นชื่อในเรื่องเครื่องเทศที่ดีต่อสุขภาพอีกด้วย เราได้มีโอกาสไปทานอาหารอินเดียถึงเชียงใหม่ที่ร้าน Accha Authentic Indian Cuisine ขอรีวิวร้านและอาหารที่สุดแสนจะพิเศษไม่เหมือนใคร ณ บัดนี้ เริ่ม!

Accha Authentic Indian Cuisine ตั้งอยู่ที่ซอยนิมมานเหมินทร์ 5 อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่ เป็นร้านบรรยากาศอบอุ่น เหมือนได้ทานอาหารที่บ้าน ร้านนี้ก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 2013 เรียกได้ว่ามีประวัติศาสตร์ที่ยาวนาน ได้รับความนิยม มีลูกค้าเยอะมาก ลูกค้าส่วนมากจะเป็นชาวต่างชาติ บรรยากาศของร้านเป็นธรรมชาติ มีต้นไม้ล้อมรอบให้ความร่มรื่น อีกทั้งยังมีที่นั่งหลายโซน หลายรูปแบบ ทั้งแบบนั่ง outdoor นั่งในห้องแอร์ หรือแบบนั่งพื้น ซึ่งครั้งนี้เราเลือกนั่งใต้ต้นไม้ รับลมชมวิว ชิล ๆ ผ่อนคลาย

เมื่อเลือกที่นั่งได้แล้ว ก็มีพนักงานนำมาเมนูมาวางไว้บนโต๊ะ พร้อมกับกระดิ่งไว้สำหรับเรียกพนักงาน อีกทั้งยังมีถั่วลิสงทอดไว้ให้ทานระหว่างรออาหารอีกด้วย

เราใช้เวลาเลือกเมนูอาหารนานกว่าทุกครั้ง อาจจะเพราะว่าเราไม่ค่อยคุ้นชินหรือรู้จักเมนูอาหารอินเดียแต่ละอย่าง จึงตัดสินใจว่าถ้าเราเลือกไม่ได้ก็ให้พนักงานที่ร้านแนะนำดีกว่า ซึ่งเป็นทางออกที่ดีที่สุด จากนั้นเราจึงสั่นกระดิ่งเรียกพนักงาน แล้วให้เขาแนะนำเมนูยอดฮิตให้ ซึ่งได้สั่งอาหารมาทั้งหมด 5 เมนูด้วยกัน

หลังจากที่พนักงานรับออเดอร์ได้สักพัก ก็มีของมาเสริมเพิ่มเติม ลักษณะคล้ายน้ำจิ้มหรือเครื่องปรุงรส มีชื่อเรียกว่า Chutney ที่เอาไว้ราดหรือจิ้มกับอาหารและใช้เป็นเครื่องเคียงกับอาหารที่เป็นประเภทแกง เพื่อเพิ่มความอร่อย ความกลมกล่อม ทำให้การทานอาหารเหมือนได้เล่นเกม มีเครื่องปรุงรสให้เลือกมากมาย โดยเครื่องปรุงที่นำมาเสริมนั้นมีทั้งหมด 6 อย่างด้วยกันดังนี้

      1. Green Chutney ผักชีบด กลิ่นฉุน รสชาติออกขมพอประมาณ
      2. Mango Chutney มะม่วงที่ผสมเครื่องเทศ และมีกลิ่นของหัวหอมนิดหน่อย รสชาติหวาน
      3. Imli Ki Chutney ซอสมะขามเปียก ที่สามารถจิ้มได้กับทุกอย่าง รสชาติเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ
      4. Mango Pickle Chutney มะม่วงเชื่อมที่ดองกับพริก รสชาติหวานเผ็ด
      5. Schezwan Chutney คนไทยเรียกว่า “ซอสเสฉวน” มีพริกเป็นวัตถุดิบหลัก ลักษณะคล้ายน้ำพริกเผาและหอมเครื่องเทศ รสชาติเผ็ดแต่ละมุน
      6. Red onion Chutney หอมแดงดอง รสชาติหวานคล้ายหอมดองของไทยเลย แต่ Red onion Chutney จะมีกลิ่นของเครื่องเทศออกมาด้วย

รอได้ไม่นานสิ่งแรกที่นำมาเสิร์ฟคือ “Pani Puri” หรือ “Golgappe” ที่ถือว่าเป็นเมนูยอดฮิตของร้าน ที่พนักงานแนะนำมา “Pani Puri” เป็นอาหารว่างไว้ทานเล่น เป็นแป้งทอดทรงกลม เจาะรูตรงกลาง ข้างในจะมีฝรั่งบดและถั่วชิคพี เสริมพร้อมน้ำซอสสีเขียวและสีแดง น้ำซอสสีเขียวจะออกรสเปรี้ยวของมะนาวและมีกลิ่นหอมผักชี ส่วนน้ำซอสสีแดงจะออกรสเผ็ดนิด ๆ มีกลิ่นของเครื่องเทศ วิธีการกินก็คือเทน้ำซอสใส่รูตรงกลางที่เขาเจาะเอาไว้ให้ ปริมาณน้ำซอสมากน้อยแล้วแต่ความชอบของแต่ละคน สำหรับเราคิดว่าใส่อย่างละ 1 ช้อนชาคืออร่อยกลมกล่อมมาก เทคนิคการกินให้อร่อยคูณสิบที่พี่พนักงานแนะนำมาอีกคือ ต้องกินทั้งหมดภายใน 1 คำ !! เพราะจะได้ Texture ที่ดี

พอเราได้ลองกินคำแรกก็รู้เลยว่าอร่อยมากจริง ๆ เพราะมีทั้งความบางกรอบของแป้ง ความหวานมันของฝรั่ง และมีความเปรี้ยว ๆ หวาน ๆ ของซอส เป็นอะไรที่ลงตัวและเข้ากันมาก ไม่แปลกใจเลยว่าทำไมถึงเป็นเมนูยอดฮิตประจำร้าน

เมนูที่สองที่นำมาเสิร์ฟคือ “Laccha Paratha” หรือที่คนไทยเรียกว่า “โรตี” ซึ่งไม่ได้เอามาราดนมข้นหรือน้ำตาลแบบเรา หรืออีกชื่อคือ “แป้งนาน” คนอินเดียมักจะทานแป้งและข้าวเป็นหลัก จึงเป็นเหตุผลที่สำคัญที่เราสั่ง Laccha Paratha เพราะจะได้เหมือนมาทานอาหารอินเดียแบบเต็มรูปแบบ เหมือนเจ้าของอาหารทานกันจริง ๆ ระหว่างรอเมนูอื่นมาเสริฟ์ก็ลองแอบชิมแป้งนานดู ปรากฏว่ามันอร่อยกว่าที่เราคิดไว้ ภายนอกอาจจะดูเหมือนแป้งแห้ง ๆ จืด ๆ แต่ความจริงแล้วคือแป้งนุ่มมาก แถมยังหอมเนยอีกด้วย แป้งไม่ได้จืดเหมือนที่คิด ออกหวานนิด ๆ ด้วยซ้ำ โดยรวมแล้วถือว่า Perfect มาก เกือบกินแค่แป้งอย่างเดียวจนหมดแล้ว ดีนะห้ามใจไว้ก่อน

เมนูที่สามที่นำมาเสิร์ฟคือ “Lamb Masala” ถ้าให้เปรียบเทียบ Masala ก็เหมือนแกงทั่วไปของบ้านเรา และ “Lamb Masala” นั้นคือแกงเนื้อแกะ ซึ่งนอกจากจะเป็นครั้งแรกที่เราได้ทานอาหารอินเดียแล้ว ยังเป็นครั้งแรกที่เราได้ทานเนื้อแกะด้วย ถึงแม้ว่าหน้าตาของแกงจะไม่ได้สวยงามหรือน่ากินอะไรมากมาย แต่รสชาติคือดีมาก เนื้อแกะนุ่มละลายในปาก รสชาติไม่เผ็ดจี๊ดจ๊าด แต่จะให้รสร้อนจากเครื่องเทศ เมื่อนำไปกินกับแป้งนานจะอร่อยคูณสิบไปเลย

เมนูที่สี่ที่นำมาเสิร์ฟคือ “Yellow Rice” หรือที่คนไทยเรียกว่า “ข้าวเหลือง” หรือ “ข้าวหมก” แต่ที่ร้านนี้จะแตกต่างจากข้าวเหลืองหรือข้าวหมกที่เราเคยทาน เพราะข้าวเหลืองที่นี่กลิ่นหอมเครื่องเทศมาก อีกทั้งยังมีกลิ่นหอมควันคละคลุ้ง และที่สำคัญคือข้าวไม่มันจนเกินไป เมื่อนำมาทานคู่กับ Lamb Masala แล้วถือว่าอร่อยไม่แพ้แป้งนานเลย

เมนูสุดท้ายที่นำมาเสิร์ฟจะเป็นเครื่องดื่ม นั่นคือ “Lassi” เป็นน้ำสีขาวมีฟองอยู่ด้ายบนปากแก้วด้วย คำแรกที่ดูเข้าไปก็มีตกใจนิดหน่อย เพราะไม่เคยทานอะไรแบบนี้มาก่อน แต่พอทานไปสักพักก็รู้สึกว่ามันเริ่มอร่อยขึ้น รสชาติเหมือนนำนมเปรี้ยวมาปั่นรวมกับโยเกิร์ต แต่ก็แอบมีกลิ่นเครื่องเทศนิด ๆ เหมือนกัน เชื่อเลยว่าอาหารอินเดียมีเครื่องเทศเป็นปัจจัยหลัก

พออาหารทุกเมนูมาครบแล้ว เราก็กินกันอย่างเพลิดเพลิน ขอบอกก่อนเลยว่าการกินอาหารอินเดียนั้นสนุกมาก เพราะมีเครื่องปรุงหรือเครื่องเคียงหลากหลายอย่างให้เราทดลอง เอาอันนั้นผสมอันนี้ เอาอันนี้ผสมอันนั้น กินแต่ละคำนั้นรสชาติจะไม่เหมือนกันเลย แต่ความอร่อยก็ยังเหมือนเดิม และอีกทริคที่สำคัญคือการจะกินอาหารอินเดียให้อร่อยขึ้นไปอีกคือต้องใช้มือ และไม่ต้องกลัวว่าจะดูเสียมารยาทหรือดูมูมมามเพราะส่วนมากคนทั้งร้านก็ใช้มือกันหมดเลย

สำหรับการทานอาหารอินเดียครั้งนี้เป็นประสบการณ์ที่แปลกใหม่ ไม่ผิดหวังเลย รสชาติอร่อย ถูกใจกว่าที่คิดไว้ อาหารอินเดียเป็นอาหารที่ทำให้เรารู้สึกสนุกและเพลิดเพลิน เป็นการเปิดประสบการณ์อีกแบบหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทำให้เรียนรู้หลายอย่างเกี่ยวกับอาหารมากขึ้น อินเดียเป็นประเทศอุดมสมบูรณ์ไปด้วยทรัพยากรธรรมชาติมากมาย เมนูอาหารจึงหยิบจับวัตถุดิบที่มีอยู่ภายในประเทศ เช่น แป้ง เนื้อสัตว์ เครื่องเทศ มาปรุงเป็นอาหารได้อย่างน่าสนใจ

คิดไปคิดมาคือติดใจอาหารอินเดียเข้าแล้ว และคงหาโอกาสทานอาหารอินเดียอีกบ่อย ๆ เพราะยังมีอีกหลายเมนูที่ยังไม่ได้ลอง อาหารอินเดียอาจไม่เป็นที่นิยมเท่าอาหารญี่ปุ่นหรืออาหารเกาหลี ไม่ได้หากินง่ายแบบอาหารจีนหรืออาหารไทย แต่ถ้าหากได้ลองแล้วจะติดใจ อีกทั้งยังสนุกในการรับประทานและเรียนรู้วัฒนธรรมของอาหารอินเดียไปพร้อมกันด้วย

Additional Information

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา CA005 Art of Storytelling ภาคการศึกษา 2/2563

Writer

การใช้ชีวิตให้คุ้มค่าในแบบของเราคือการนอนดูซีรีส์ทั้งวัน

Photographer

เราหนีจากความจริงไม่ได้ หาความสวยงามให้เจอแทนดีกว่า