เมื่อตอนที่ผมยังเป็นเพียงเด็กอายุสิบสอง ผมได้ศึกษาศาสตร์โค้ดดิ้งคอมพิวเตอร์ด้วยตนเอง จากนั้นจึงใช้ความรู้ที่ว่าสร้างวีดิโอเกมของตัวเองขึ้น ซึ่งต่อมาก็ได้ขายไปในราคา 500 เหรียญ

ผมได้พุ่งทะยานจากความเป็นอยู่ในระดับเทียบเท่าติดดินจนกลายมาเป็นมหาเศรษฐีพันล้านและทุ่มเทเงินทุกดอลลาร์ไปกับเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวในชีวิต นั่นคือการเปลี่ยนแปลงอนาคตและโชคชะตาของมนุษยชาติ

ทุกคนล้วนขานเรียกผมด้วยหลายชื่อหลายนาม หนึ่งในนั้นคือ ‘โทนี่ สตาร์ค แห่งโลกความเป็นจริง’ ผู้ที่มีทรัพย์สินมากที่สุดในโลกด้วยมูลค่า 173.6 พันล้านเหรียญสหรัฐ และที่ผมกำลังจะเล่าให้ฟังต่อไปนี้ คือเรื่องราวของชีวิตของผม

ผมมีชื่อเต็มว่าอีลอน รีฟ มัสก์ (Elon Reeve Musk) เกิดเมื่อวันที่ 28 มิถุนายน ปี 1971 ณ กรุงพรีทอเรีย ประเทศแอฟริกาใต้ ครอบครัวเรามีกันทั้งหมดสี่คน พ่อแม่ ผม และน้องชายชื่อว่าคิมบอล พ่อผมทำงานเป็นช่างวิศวกรรมไฟฟ้า ขณะที่แม่ผมเป็นนางแบบและผู้ให้คำปรึกษาด้านการลดน้ำหนัก

ตอนยังเล็กตัวผมนั้นรู้สึกว่าตัวเองแตกต่างจากเด็กทุกคนรอบตัวมากมายขนาดไหน เพราะบ่อยครั้งผมมักจะฟุ้งเฟ้อไปด้วยความคิดมหาศาลที่ผุดขึ้นมาในหัวจนลืมสิ่งรอบตัวไปเสียหมด ไม่ว่าคำใด ประโยคไหนที่คนรอบตัวพูดก็ไม่สามารถดึงผมออกมาจากภวังค์แห่งความฝันอันยิ่งใหญ่ได้

ด้วยเหตุดังกล่าวแทนที่ผมจะออกไปเล่นกับเพื่อนฝูงเหมือนดั่งคนวัยเยาว์มักทำกันเป็นเรื่องปกติ ผมกลับหมกตัวอยู่ในห้องสมุด อ่านหนังสือคอมิกส์ เล่นบอร์ดเกมดันเจี้ยนแอนด์ดรากอนส์ และดำดิ่งลงไปสู่ตัวอักษรนับหมื่นนับแสนจากงานเขียนนวนิยายหลายร้อยเล่ม และหนึ่งในนั้นคือนวนิยายไซไฟในชื่อว่า ‘The Hitchhiker’s Guide to the Galaxy’ ซึ่งเป็นหนึ่งสิ่งจุดประกายอันยิ่งใหญ่ที่ผลักดันตัวผมอย่างมากมหาศาล

ตัวตนที่ชัดเจนที่สุดของผมคือคำว่า ‘อินโทรเวิร์ท’ และ ‘เนิร์ด’ เลยก็ว่าได้ เพียงเพราะว่าผมมีป้ายคำนำหน้าเขียนว่า ‘เนิร์ด’ ติดอยู่กับตัว ผมจึงตกเป็นเป้าหมายของบูลลี่อยู่บ่อยครั้ง ไม่ว่าจะโดนขโมยของ โดนชกต่อย ในคราวที่หนักที่สุดคือคราวที่ผมเริ่มไม่ยอมพวกมัน ผมเลือดขึ้นหน้า เริ่มโต้กลับ แต่ด้วยความต่างของขนาดร่างกายและมวลกล้ามเนื้อ พวกมันเลยเริ่มเล่นแรง และผลักผมร่วงไถลลงไปกับขั้นบันไดคอนกรีต จนถึงขั้นต้องถูกหามส่งโรงพยาบาล

หากคุณคิดว่านี่แย่ แต่ที่จริงแล้วผมยังต้องเจอกับอะไรที่แย่ยิ่งกว่า โชคชะตาเหมือนได้ถมถุยผมลงมาจากฟากฟ้า หลังจากนั้นไม่นานนักพ่อและแม่ผมก็ได้หย่ากัน ความสัมพันธ์ขาดสะบั้นจนไม่เหลือ พ่อตัดสินใจเลี้ยงผมและน้องชายต่อไป ขณะที่แม่ย้ายไปอาศัยอยู่แคนาดา

ท่ามกลางความมรสุมอันมืดมิดที่บังเกิดในชีวิต ผมพบเจอแสงไฟ ณ ปลายอุโมงค์ในรูปแบบของ ‘คอมพิวเตอร์’ ที่ผมได้มาในวันเกิดอายุ 12 ปี ผมรักมันมาก ผมชื่นชอบในทุกฟังก์ชั่น ทุกหลักการทำงาน และทุกสิ่งที่สามารถทำได้ด้วยเจ้าเครื่องอีเล็กทรอนิกส์นี้

ด้วยอุปกรณ์อันแสนวิเศษนี้ ผมก็ได้ศึกษาเรียนรู้ทักษะการเขียนโค้ดผ่านมัน และสร้างวีดิโอเกมขึ้นมาในชื่อ ‘บลาสตาร์’ ซึ่งต่อมาผมได้มีโอกาสนำมันไปขายให้แก่ ‘PC Magazine’ ในราคา 500 เหรียญสหรัฐ ถึงแม้ว่าเงินจำนวนเท่านี้จะไม่ได้มากมายอะไร แต่สำหรับเด็กอายุ 12 ปีที่สามารถสร้างวีดิโอเกมขึ้นมาได้จากการเรียนรู้ด้วยตัวเอง และท่ามกลางช่วงเวลาที่คอมพิวเตอร์ยังเป็นเทคโนโลยีใหม่แกะกล่องด้วยแล้ว มันกลับให้ความรู้สึกว่าผมยังก้าวไปต่อได้อีก

ก่อนที่จะเข้าอายุ 18 ปี ผมได้ตัดสินใจย้ายไปอยู่ที่แคนาดา ทว่าทุกอย่างมันกลับไม่เป็นไปอย่างที่คาดการณ์เอาไว้นัก ทำให้ผมต้องหาเงินด้วยการทำงานจิปาถะอย่างเช่นเป็นช่างทาสี หรือพนักงานตัดหญ้า ขณะที่ต้องอาศัยอยู่ในที่พักคับแคบ ผมรู้ตัวได้ในทันทีว่าผมหลงออกจากเส้นทางแห่งความตั้งใจเดิม หากเป็นแบบนี้ต่อไปผมคงไม่มีทางเข้าไกล้เป้าหมายหรือความฝันเป็นแน่

ผมจึงเข้าศึกษาที่มหาวิทยาลัยควีนส์และย้ายเข้าสู่มหาวิทยาลัยเพนซิลวาเนีย ใช้เวลาทั้งหมดหกปี จนในที่สุดก็จบการศึกษาในหลักสูตรเศรษฐศาสตร์และฟิสิกส์ เวลานี้ผมเริ่มมอบให้ความสนใจกับอินเทอร์เน็ต พลังงานทดแทน และการสำรวจอวกาศ ผมจึงตัดสินใจเรียนต่อในศาสตร์ฟิสิกส์ระดับปริญญาเอก และได้รับเข้าศึกษาในมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ด ทว่าในขณะเดียวกัน ได้มีบางอย่างกระชากความสนใจผมอย่างคาดไม่ถึง มันคือ ‘แวดวงอินเทอร์เน็ต’

เพียงแค่สองวันหลังจากที่ผมได้เข้าศึกษายังสแตนฟอร์ด ผมก็ได้ยื่นใบลาออกเพื่อก้าวเท้าไปข้างหน้าและไขว่คว้าความฝันของผมด้วยแรงผลักดันในรูปแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน

ตอนนั้นผมไม่มีอะไรเลย ไร้ซึ่งเงิน ไร้ซึ่งบ้าน ไร้ซึ่งงาน สิ่งเดียวที่ยังเหลือ คือแรงขับเคลื่อนอันไม่สิ้นสุดที่ก่อกำเนิดขึ้นภายในตัวผม ผมจึงยืมเงินทุนจากพ่อและน้องชายมาก่อตั้งบริษัทของตัวเองในนาม ‘Zip2’ ซึ่งคือเว็ปไซต์ออนไลน์ ที่ทำหน้าที่เสมือนไกด์เดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ของแต่ละเมืองในแต่ละท้องถิ่น ทั้งยังนำเสนอเนื้อหาข่าวจากหลากหนังสือพิมพ์อีกด้วย

เหมือนดั่งเช่นธุรกิจสตาร์ทอัพทั่วไป ผมพูดได้เลยว่าเส้นทางที่กำลังดำเนินอยู่นั้นไม่เรียบง่ายเลยแม้แต่น้อย ออฟฟิศที่เราเช่าอยู่ เราก็ใช้มันเป็นที่อยู่อาศัยด้วยเช่นกัน ผมมักจะนอนบนเก้าอี้โซฟาหรือบนพื้น รวมถึงการทำอาหารและชงกาแฟยามเช้าก็ล้วนแล้วแต่ทำในออฟฟิศเช่นกัน

หลังจากหลายปีอันยากลำบาก ธุรกิจเราก็สามารถสร้างกำไรได้อย่างไม่น่าเชื่อ จนกระทั่งในปี 1999 บริษัท ‘Conpaq computer’ ได้เข้าซื้อกิจการของเราด้วยสนนมูลค่า 300 ล้านเหรียญดอลลาร์สหรัฐในเงินสดและรูปแบบของสัญญาซื้อขายหุ้น พวกเราได้เข้าเป็นส่วนหนึ่งของ ‘ซิลิคอนวัลเลย์’ ซึ่งคือจุดศูนย์รวมของเหล่าบริษัทเทคโนโลยีที่ผุดขึ้นมาเป็นจำนวนนับสิบนับร้อยในช่วงเวลานั้น

ด้วยเงินทุนก้อนโตที่ได้มาจากการเข้าซื้อบริษัทแรกที่เคยก่อตั้ง ผมได้ลงทุนเงินมากกว่าครึ่งไปกับการก่อตั้งบริษัท ‘X.com’ ซึ่งต่อมา คุณและคนทั่วโลกจะรู้จักมันในชื่อ ‘Paypal’

Paypal คือเว็ปไซต์ให้บริการธุรกรรมทางออนไลน์ผ่านอินเทอร์เน็ต สามารถนับเป็นสิ่งที่ไม่เคยมีขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์มนุษย์เลยก็ว่าได้ ในปีเดียวกันนั้นเอง ขณะที่บริการทำธุรกรรมออนไลน์เริ่มเป็นที่พูดถึงในแวดวงคนทั่วไป ทั้งสถาบันธนาคารและเหล่านักลงทุนต่างก็พูดออกมาเป็นเสียงเดียวกันว่า ‘ไม่มีทางเป็นไปได้’, ‘ระบบนั้นไม่แข็งแรงมากพอ’, ‘ไม่มีใครที่ไหนจะบ้าไปฝากเงินกับอากาศหรอก’ แต่หารู้ไม่ พวกเขาคิดผิด

ด้วยตัวผมและลูกทีมที่เต็มไปด้วยความสามารถและแรงผลักดันอันแรงกล้า พวกเราได้ปั้น Paypal สู่การเป็นบริษัทมูลค่านับพันล้านเหรียญ! แม้กระทั่งสื่อหลักหลายสำนักต่างก็ตั้งชื่อเล่นให้กับพวกเราว่า ‘Paypal Mafia’ เพราะในอนาคตต่อจากนั้น ทุกคนในทีมล้วนแล้วแต่จะได้กลายเป็นส่วนหนึ่งในการก่อตั้งบริษัทเทคโนโลยี และรวมถึงได้กลายมาเป็นผู้บริหารสูงสุด! ไม่ว่าจะเป็น LinkedIn, YouTube, Yelp และรวมถึง Reddit

จากความสนใจในเรื่องเทคโนโลยีทำให้ 6 คน จากพวกเราทั้งหมด 13 คน ได้กลายมาเป็นเศรษฐีพันล้าน

ในปี 2002 อีเบย์ได้ซื้อบริษัท Paypal ของพวกเราไปด้วยเงิน 1.5 พันล้านเหรียญสหรัฐ และด้วยส่วนแบ่งจากทั้งหมดทั้งมวล ผมได้เงินเข้ากระเป๋ามามากถึง 165 ล้านเหรียญสหรัฐ!

คุณอาจคิดว่าด้วยเงินมหาศาลก้อนนี้จะทำให้ผมเกษียณชีวิตตัวเองและเลิกชีวิตวัยทำงาน แต่ไม่ ผมไม่คิดจะหยุดอะไรทั้งนั้น ต่อให้มีเงินในบัญชีมากแค่ไหน แต่สุดท้ายมันก็ไม่อาจแทนที่ความฝันที่คิดจะ ‘เปลี่ยนแปลงอนาคตของมนุษยชาติ’ ได้

ผมมักแหงนหน้ามองสู่ฟากฟ้าปรารถนาที่จะเดินทางข้ามกาลอวกาศ สู่ห้วงอันว่างเปล่าเหนือเอื้อมแขนของมนุษยชาติ ทว่าในขณะเดียวกัน ผมก็มีความต้องการห้วงลึกในใจ ที่จะคลายปมปัญหาที่กำลังเกิดขึ้นอยู่บนโลกในนี้ บนโลกใบที่ผมกำลังยืนอยู่ด้วยขาทั้งสอง

เมื่อรู้ตัวอีกทีผมก็ได้เดินทางไปยังมอสโกหวังจัดหาซื้อจรวดมาปรับแต่งและใช้งาน ทว่าพวกเขายื่นราคาที่แพงเกินกว่าจะเอื้อมถึง ผมกลับมายังอเมริกามือเปล่า ความทรงจำที่ว่าเหล่าวิศวกรจรวดรัซเซียได้หัวเราะเยาะใส่ผมยังคงติดตา

แต่ไม่มีทางที่ผมจะยอมแพ้ ถ้าจัดหาซื้อมันไม่ได้ แล้วอะไรจะรั้งผมไม่ให้สร้างมันขึ้นมา

ทุ่มทุนไปกว่า 100 ล้านเหรียญในการทำสิ่งที่แม้แต่คนใกล้ตัวยังคิดว่าเป็นไปไม่ได้ ผมก่อตั้งบริษัทผลิตจรวดเอกชนขึ้นมา ด้วยเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวนั่นคือ ‘สร้างอาณานิคมอวกาศให้แก่มนุษยชาติ’ และผมได้ขนานนามมันว่า…‘SpaceX’

ขณะเดียวกัน ผมก็ได้ร่วมก่อตั้งบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าในชื่อ ‘Tesla’ โดยทุ่มทุนไปอีกถึง 70 ล้านเหรียญ ญาติสนิทมิตรสหายของผมต่างก็บอกใส่ผมจนหูชาว่าผมนั้น ‘เอาเงินไปทิ้ง’

แต่ยังไงซะ ผมก็ไม่มีทางหันหน้าหนีจากสิ่งที่ได้ทำลงไปแล้วอย่างแน่นอน เพราะทั้งชีวิตที่ผ่านมา ผมได้ใช้ชีวิตแบบทุ่มสุดตัวกับทุ่กสิ่ง พยายามเต็มที่กับทุกอย่าง เพียงเพื่อจะได้ก้าวขั้นเข้าสู่บันไดที่ทอดสูงไปยังความฝันของตัวเอง ทว่า 6 ปีหลังจากนั้น ทุกสิ่งกลับดิ่งลงเหวด้วยความเร็วที่ผมไม่อาจต้านรับได้ทัน

จรวดที่เราผลิต ระเบิดลำแล้ว ระเบิดลำเล่า เงินทุนถูกถลุงไปใช้กับการวิจัยและจัดการวัสดุผลิตอย่างมหาศาล จนกระทั่งมันมาถึงจุดที่ผมต้องยืมเงินจากคนรู้จักอีกครั้ง ผมร่วงหล่นจากสถานะเศรษฐีเงินล้าน สู่เจ้าของบริษัทถังแตก

คุณรู้ไหมว่าจรวดทั้งสามลำที่พวกเราพยายามส่งมันขึ้นฟ้า ไม่มีลำไหนเลยที่จะร่วงหล่นลงมาในสภาพดี ผมกลับมาไม่เหลืออะไรอีกครั้ง

และไม่ใช่แค่นั้น บริษัท Tesla ที่ผมร่วมก่อตั้งก็ไม่อาจสร้างรถยนต์ไฟฟ้าที่สามารถใช้งานได้จริงเลยแม้แต่คันเดียว ทุกอย่างดูเหมือนจะสิ้นหวัง จนกระทั่งมีนักลงทุนกลุ่มหนึ่งที่ยังคงศรัทธาในตัวพวกเรา ได้มอบเงินทุนมากพอที่จะให้เรายิงจรวดขึ้นสู่ฟากฟ้าได้อีกหนึ่งครั้ง และถ้าคราวนี้มันล้มเหลว ผมจะไม่เหลือสิ่งใดที่จะขับดันบริษัทต่อไป และผมคงต้องยุบพวกมันลง

กาลเวลาผ่านไป ในที่สุดก็มาถึงวันปล่อยจรวดครั้งที่สี่ สายตานับร้อยของทีม SpaceX ได้จับจ้องไปยังเส้นขอบฟ้าอย่างใจจดใจจ่อ และในทันทีที่พวกเราเห็นว่าจรวดหนักห้าร้อยตันของพวกเราได้พุ่งทะยานขึ้นเหนือผืนพสุธาและแหวกชั้นบรรยากาศมุ่งสู่วงโคจรของโลก

เสียงตะโกนแห่งความปลื้มปิติได้ดังลั่นห้องควบคุม น้ำตาไหลพรากบนใบหน้าของลูกทีมทุกคนที่อยู่ในที่แห่งนั้น ในที่สุดพวกเราก็ได้เป็นบริษัทเอกชนรายแรกที่สามารถผลิตและนำส่งจรวดเข้าสู่วงโคจรได้เป็นอันสำเร็จ

หลังจากวันนั้น นาซ่าได้ติดต่อเข้ามายังพวกเราเพื่อทำสัญญามูลค่า 1.6 พันล้านเหรียญในการนำส่งวัตถุและเชื้อเพลิงไปยังอวกาศ เป้าหมายของผมคือการนำพามนุษยชาติไปข้างหน้า และในไม่ช้ามันกำลังจะเป็นจริง

จนกระทั่งมาถึงในปัจจุบัน ที่ SpaceX มีกำลังคนและทรัพยากรมากพอที่จะจัดสร้างจรวดขับดันที่มีประสิทธิภาพและราคาถูกยิ่งกว่าทุกลำในตลาดเดียวกัน และเรามีแผนที่จะส่งมนุษย์ไปตั้งรกรากบนดาวอังคารในไม่ช้า

บริษัท Tesla ที่เกือบตายลงในช่วง 6 ปีแรกกลับมีมูลค่าพุ่งทะยานสูงยิ่งกว่าบริษัทรถยนต์ไฟฟ้าใด ๆ บนโลกภายในเวลาไม่ถึงสิบปี เราผลิตรถยนต์ไฟฟ้าที่มีกำลังขับสูงสุด, ปลอดภัยที่สุด และมีระบบที่เสถียรที่สุดในโลก

แต่กระนั้นผมก็ยังไม่นับว่านี่คือจุดสิ้นสุดของทางเดิน ผมตัดสินใจก้าวสวนกระแสความคิดในปัจจุบัน เริ่มลงทุนในสิ่งที่ทุกคนบนโลกต่างก็พูดเป็นเสียงเดียวกันว่ามันสูญเปล่า ไม่ว่าจะเป็นฟาร์มแผงโซลาร์เซลล์, เทคโนโลยีการคมนาคมส่วนบุคคลรูปแบบใหม่ในนามว่า ‘Hyperloop’ และการเชื่อมต่อระหว่างเทคโนโลยีกับจิตใจของมนุษย์ ในชื่อ ‘Neurolink’

ทั้งหมดที่ผมได้กล่าวมา ทั้งหมดที่ผมได้ลงทุนลงแรงไป ล้วนแล้วแต่เป็นเพราะเป้าหมายในการนำพามนุษยชาติไปสู่ข้างหน้าทั้งสิ้น เงิน ชื่อเสียง พลังอำนาจ ไม่ใช่จุดมุ่งหมายของผม

ผมเป็นเพียงจุดหนึ่ง ฟันเฟืองตัวหนึ่งในอุปกรณ์ขนาดยักษ์ที่เรียกว่าสังคมโลก ผมเคยไม่มีค่าต่อใคร ผมเคยไม่มีความหมายต่อสิ่งใด แต่ผมเชื่อในตัวผมเอง เชื่อในคุณค่า เชื่อในความสามารถ เชื่อในเป้าหมาย และเชื่อในความฝัน ผมต้องการโลกที่ดีกว่านี้

ผมเคยถูกรุมกระทืบโดยพวกเด็กคนอื่น ๆ เคยถูกหัวเราะเยาะใส่โดยเหล่าวิศวกรรอบกาย เคยถูกลั่นวาจาใส่ว่าไอเดียของผมไม่มีทางไปได้ถึงไหน แต่ผมก็ยังเชื่อในตัวเอง และคว้าแขนของผมไปยังโอกาสที่ไม่มีใครกล้าไขว่คว้ามันมา ไม่ว่ามันจะทำให้ผมพุ่งสูงขึ้น หรือถูกฉุดต่ำลงเรี่ยดินก็ตาม

ขณะที่ฝ่ามรสุมทุกสิ่งอย่าง ผมก็ไม่ลืมที่จะแหงนหน้าขึ้นสูง และจับจ้องไปยังดวงดาวอันเจิดจรัสบนฟากฟ้า เพื่อตอกย้ำว่าที่ผมได้ก้าวเดินมายังจุดนี้ก็เพื่ออะไร ผมไม่มีวันละทิ้งความหวัง ผมไม่ฟังพวกที่หักห้ามไม่ให้ผมทำอะไร ผมไม่คิดจะหยุดทำงานแม้แต่วินาทีเดียว ผมเชื่อว่าผมสร้างโลกที่ดีขึ้นได้

ผมคืออีลอน มัสก์ (Elon Musk) ผู้ก่อตั้ง SpaceX และ Tesla Motors

Reference & Bibliography

Additional Information

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา CA005 Art of Storytelling ภาคการศึกษาที่ 2/2563

Writer

นักฝัน นักพูด นักเขียน ผู้รักการถ่ายทอดอารมณ์ในหลากรูปแบบ แม้เขาจะเพิ่งก้าวสู่วงการนักเขียนเพียงไม่ถึงปี แต่อย่างไรโลกนี้ก็ยังมีอะไรให้เขาได้เรียนรู้อีกมากนัก