คำเตือน: บทความต่อไปนี้มีการเปิดเผยเนื้อหาของภาพยนตร์ Birds of Prey (2020)
ในวันที่กระแสการเรียกร้องความเท่าเทียมทางเพศในสังคมได้รับการพูดถึงมากขึ้นและมากขึ้น เราขอพาทุกคนย้อนไปดูหนังแอนไทฮีโร่ที่ไม่ได้มีเพียงฉากบู๊สุดมันส์ตามสไตล์หนังแอคชั่น แต่ยังถูกขนานนามว่า เฟมินิสต์จ๋าเกินไป จนทำให้ถูกกระแสในทางลบและข้อครหามากมาย ณ เวลาที่ออกฉาย นั่นก็คือ Birds of Prey (and the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn)
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/B01.jpg)
Birds of Prey (and the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn) หรือทีมนกผู้ล่า กับ ฮาร์ลีย์ ควินน์ ผู้เริดเชิด เป็นหนึ่งในภาพยนตร์ของ DCEU ที่มีดีมากกว่าแค่ภาพสวย คอสตูมดี หรือเพลงที่ติดหู เพราะหนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยประเด็นทางสังคมและสะท้อนความดูเหมือนจะธรรมดาในโลกที่ความเท่าเทียมทางเพศยังไม่เกิดขึ้นจริง
ด้วยมุมมองที่ถูกนำเสนอโดยผู้หญิงผ่านการกำกับของ เคธี่ ยาน เขียนบทโดย คริสตินา ฮอดสัน ที่เล่าเรื่องราวการรวมตัวกันของตัวละครหญิงแกร่งที่ต้องการอยู่รอดในเมืองก็อตแธม นั่นก็คือ ฮาร์ลีย์ ควินน์ (รับบทโดย มาร์โกต์ ร็อบบี้) แบล็คคานารี (รับบทโดย เจอร์นี่ สมอลเล็ตต์-เบลล์) ฮันเทรส (รับบทโดย แมรี่ อลิซาเบธ วินสตีด) เรเน่ มอนโทย่า (รับบทโดย โรซี่ เปเรซ) และ แคสแซนดร้า เคน (รับบทโดย เอลล่า เจย์ บาสโค) พวกเธอต้องต่อสู้ให้พ้นเงื้อมมือของตัวร้ายอย่าง โรมัน ไซออนิส (รับบทโดย ยวน แม็คเกรเกอร์) และ วิคเตอร์ แซซ (รับบทโดย คริส เมซซีน่า)
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/00-e1643380001324.jpg)
ปิดฉากแฟนเซอร์วิสในดวงใจ
ภาพของผู้หญิงจากมุมมองสายตาของผู้ชาย “มันเป็นความคิดที่เหยียดเพศที่สุดในหนัง การที่ใส่ผู้หญิงเข้าไปเพื่อให้ผู้ชายใช้สายตาโลมเลีย” คือประโยคหนึ่งจาก Attack of the Hollywood Clichés! (2021) ที่พูดถึงภาพยนตร์ Suicide Squad (2016) ที่ทำให้ใครหลายคนได้รู้จักกับ ฮาร์ลีย์ ควินน์ เวอร์ชั่นหนังเป็นครั้งแรก
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/946b9708-177f-4fef-b983-0c2df178465d-e1643530638528.jpeg)
จากภาพจำของตัวละครหญิงแสนเซ็กซี่ พร้อมฉากเอาใจแฟนที่โด่งดังทำให้ฮาร์ลีย์กลายเป็นละครขวัญใจประชาชนได้ง่าย ทว่าภาพจำเหล่านั้นได้ถูกสลัดทิ้งไป เมื่อฮาร์ลีย์ปรากฎตัวในหนัง Birds of Prey ด้วยเสื้อผ้าใหม่ทั้งเซ็ตจนเรียกได้ว่าฉีกจากลุคเดิมอย่างสิ้นเชิง และก็เป็นเหตุผลหนึ่งที่ทำให้แฟนหนังหลายคนเลือกที่จะไม่ดูหนังเรื่องนี้อีกต่อไป สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า ฮาร์ลีย์ ควินน์ ถูกทำให้กลายเป็นวัตถุทางเพศ (sexual objectification) ผ่านสิ่งที่เรียกว่า male gaze ในหนังเรื่องก่อน ที่แม้จะครองใจผู้ชมทั่วโลก แต่กลับเป็นหนึ่งในปัญหาที่วงการฮอลลีวูดยังต้องแก้ไขกันไปอีกยาวนาน
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/B07.jpg)
ท้าทายกรอบที่กดทับ ผ่านสเน่ห์ของผู้เล่าที่เชื่อถือไม่ได้
Birds of Prey ได้นำเสนอตัวละครผู้หญิงที่มีสเน่ห์แต่แฝงไปด้วยความอันตรายซึ่งตรงกับหลัก Femme Fatale ที่ทำเอาขัดใจแฟนหลายคนไม่พอ แต่ยังท้าทายวงการภาพยนตร์ผ่านการเล่าเรื่องด้วยเทคนิค Unrealiable narrator หรือผู้เล่าเรื่องที่เชื่อถือไม่ได้ ซึ่งก็คือ ฮาร์ลีย์ คนเดิมของเราที่คอยชักนำให้ผู้ชมคล้อยตามไปกับเรื่องราวในมุมมองของเธอ ไม่ว่าจะเป็นการมองเห็นภาพที่เกินจริง อย่างการเห็นกากเพชรแทนเลือดที่สาดกระเซ็นในฉากบู๊ หรือการเล่าที่ตัดไปตัดมาแล้วแต่อารมณ์ของเธอว่าอยากหยิบยกเรื่องราวใดมาเล่าก่อน
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/B06.jpg)
หากเราวิเคราะห์กันให้ลึกไปอีก การเล่าเรื่องในรูปแบบนี้เข้าข่ายทฤษฎีของ เอแลง ซิกซู (Hélène Cixous) นักวิจารณ์วรรณกรรม นักเขียนนิยาย และนักกวีสายสตรีนิยมชาวฝรั่งเศสที่กล่าวไว้ในหนังสือ The Laugh of the Medusa (1975) เธอแสดงทัศนะว่า งานเขียนแบบผู้หญิง จะเป็นการท้าทายสังคมชายเป็นใหญ่ได้เป็นอย่างดี เพราะการนำเสนอในรูปแบบนี้จะสร้างความแปลกประหลาด ไร้ระบบระเบียบ เข้าใจยาก และสามารถฉีกรูปแบบการเขียนแบบดั้งเดิมในสังคมชายเป็นใหญ่ที่กำหนดว่าการเขียนต้องเป็นเส้นตรง ชัดเจน และมีเอกภาพตามมาตรฐานการเขียนที่ถูกสร้างขึ้นโดยผู้ชายนั่นเอง
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/01-e1643380261470.jpg)
เบื้องหลังความรักที่หวานชื่นคือความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ
เบื้องหลังผู้ชายที่ประสบความสำเร็จคือผู้หญิงที่เก่งกาจ
เปิดเรื่องมาด้วยเรื่องราวของ ฮาร์ลีย์ ควินน์ ที่ได้จบความสัมพันธ์กับโจ๊กเกอร์ (รับบทโดย จาเร็ต เลโต้) ไปหมาด ๆ โดยตัวละครหลักของเราได้เล่าว่า เธอตกหลุมรักกับราชาแห่งอาชญากรรมคนนี้ ณ โรงพยาบาลจิตเวช ขณะที่เธอทำงานเป็นจิตแพทย์อยู่ที่นั่น ด้วยความลุ่มหลงทำให้เธอยอมทำทุกอย่างเพื่อโจ๊กเกอร์ แม้เขาจะไม่สนใจใยดีเธอด้วยความจริงใจเลยก็ตาม ซึ่งสะท้อนความสัมพันธ์ที่เป็นพิษ (toxic relationship) ของทั้งสอง เมื่อฝ่ายหนึ่งเป็นผู้ให้อย่างไม่มีขีดจำกัด ในขณะที่อีกฝ่ายรับบทเป็นผู้รับเพียงอย่างเดียว
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/20ad5fe0-1bc2-11ea-aaf2-eb7e2dada444_original.jpeg)
เมื่อผู้หญิงถูกมองเป็นเพียงทรัพย์สินของผู้ชาย
บางคนก็ไม่ได้เกิดมาเพื่ออยู่ได้ด้วยตัวเอง
ฮาร์ลีย์ได้พบกับระยะเวลาของการก้าวผ่านความสูญเสียหลังจากที่แยกทางกับโจ๊กเกอร์ ซึ่งตรงกับทฤษฎี 5 Stages of Grief ที่ประกอบไปด้วย 1. Denial (ปฏิเสธ) 2. Anger (โกรธ) 3.Bargaining (การต่อรอง) 4. Depression (เศร้า) 5. Acceptance (ยอมรับ) ทว่าแม้จะมูฟออนได้แล้ว แต่ฮาร์ลีย์กลับไม่กล้าบอกใครเรื่องการเลิกราครั้งนี้ เพราะการที่เธอเป็นแฟน (หรือสมบัติ) ของโจ๊กเกอร์ทำให้คนไม่กล้าเข้ามายุ่งหรือมีปัญหากับเธอ และถึงแม้จะบอกไปคนก็กลับไม่เชื่อและคิดว่าเธอจะต้องกลับไปหาโจ๊กเกอร์อยู่ดี
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/B05.jpg)
หลังจากที่ได้ยินคำสบประมาทมากมายจนกระทั่งฟางเส้นสุดท้ายของเธอขาด ทำให้ฮาร์ลีย์ตัดสินใจป่าวประกาศให้โลกรู้ว่าเธอและโจ๊กเกอร์แยกทางกันแล้วอย่างเป็นทางการผ่านการขับรถส่งน้ำมันไประเบิด ACE CHEMICAL ที่พบรักของทั้งสอง และนั่นคือจุดเริ่มต้นของเรื่องราวทั้งหมด
สถานะทางอำนาจที่ซ้อนทับ
Birds of Prey ไม่ได้เล่าแค่ประสบการณ์ของฮาร์ลีย์เพียงเท่านั้น แต่ยังพูดถึงประสบการณ์ที่ผู้หญิงคนอื่น ในเมืองก็อตแธมต้องเจอ หนึ่งในนั้นคือ ไดนาห์ แลนซ์ หรือที่รู้จักกันในนาม แบล็คคานารี เธอเป็นนักร้องในคลับของ โรมัน ไซออนิส (โรมันเองก็มองไดนาห์เป็นเสมือนสมบัติของเขาเช่นกัน)
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/02-e1643380300260.jpg)
ความน่าสนใจของไดนาห์เริ่มมาตั้งแต่ฉากปรากฏตัว โดยเธอได้ร้องเพลงที่มีชื่อว่า Jurnee Smollett-Bell – It’s A Man’s Man’s Man’s World (from Birds of Prey) [Official Audio] ของ James Brown ที่กล่าวถึงเรื่องราวการสร้างสิ่งประดิษฐ์ของผู้ชาย เพื่อนำเงินที่ได้ไปซื้อของจากผู้ชายคนอื่น แต่สิ่งเหล่านั้นจะไม่มีความหมายหากปราศจากผู้หญิง (และเด็กผู้หญิง) เธอขับกล่อมบทเพลงนี้ออกมาอย่างงดงามก่อนจะถูกโรมันเลื่อนขั้นให้เป็นคนขับรถประจำตัวด้วยความไม่เต็มใจ นอกจากนี้ไดนาห์ยังถูกวิคเตอร์ที่เป็นเหมือนมือขวาของโรมันคุกคามอยู่ตลอดเวลาการทำงาน สิ่งเหล่านี้สะท้อนให้เห็นถึง สถานะทางอำนาจ หรือ power dynamic ที่ซ้อนทับระหว่างความเป็นลูกน้องและเจ้านาย และความเป็นผู้หญิงและผู้ชาย ที่ทำให้ไดนาห์ไม่สามารถปฏิเสธหรือตอบโต้ทั้งสองได้แม้ตนจะไม่ชอบก็ตาม
ว่าด้วยเรื่องของ…การเลือกปฏิบัติในที่ทํางาน
Birds of Prey ยังได้เล่าเรื่องของ เรเน่ มอนโทย่า ตำรวจหญิงของก็อตแธมที่ได้สร้างผลงานโดยการทำคดีดังได้สำเร็จ แต่กลับถูกคู่หูชายของตัวเองแย่งเครดิตจนได้เลื่อนขั้นเป็นผู้กอง ในขณะที่เธอต้องอยู่ในระดับสายสืบต่อไป
เรื่องราวของเรเน่ได้สะท้อนภาพของปัญหา การเลือกปฏิบัติในที่ทำงานด้วยเหตุแห่งเพศ (Gender discrimination in the workspace) ออกมาอย่างเห็นได้ชัด ไม่ว่าจะเป็นการถูกปฏิเสธการเลื่อนขั้นอย่างไม่เป็นธรรม หรือการที่เพื่อนร่วมงานเลือกที่จะไม่รับฟังความคิดเห็นของเธอ และไม่จริงจังกับคำพูดของเธอตลอดเวลาแม้เธอจะมีความสามารถมากเพียงใด
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/03-1-e1643381108202.jpeg)
ระบบที่กดทับคือศัตรูที่แท้จริง
หนึ่งในฉากที่สะเทือนใจที่สุดของหนังเรื่องนี้คงหนีไม่พ้นฉากที่โรมันระบายความโกรธของตัวเองโดยการสั่งให้ผู้หญิงคนหนึ่งที่กำลังดื่มอยู่ในคลับขึ้นไปยืนเต้นบนโต๊ะก่อนจะสั่งให้เธอถอดเสื้อ เมื่อเธอปฏิเสธเขาจึงสั่งให้เพื่อนชายที่นั่งร่วมโต๊ะฉีกเสื้อผ้าของเธอจนขาดวิ่น โดย Birds of Prey เกือบไม่ได้ออกฉายเพราะความรุนแรงของเนื้อหาดังกล่าว เพราะในขณะทุกคนในคลับมองเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นด้วยความตกใจ โรมันกลับมองภาพที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความบันเทิงเท่านั้น
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/04-e1643380388281.jpeg)
ตลอดทั้งเรื่องโรมันถูกบังคับให้ต้องต่อสู้กับตัวละครผู้หญิง โดยการกระทำหลายอย่างของเขาสะท้อนให้เห็นถึงแนวคิดของหลายอย่างในสังคมชายเป็นใหญ่ไม่ว่าจะเป็น ความเกลียดชังผู้หญิง (misogyny) หรือ ความเป็นชายที่เป็นพิษ (toxic masculinity) ที่ไม่ได้ส่งผลกระทบกับเพียงหญิงสาวในเรื่องเท่านั้น แต่ยังเป็นกรอบที่ครอบโรมันไว้อีกที
จากการนำเสนอดังกล่าวทำให้หลายคนมองว่า Birds of Prey กำลังพยายามป้ายสีความเป็นชายให้เสียหายผ่านการกระทำของโรมัน โดยมองว่าโรมันไม่ใช่ตัวแทนของผู้ชายทุกคน ทว่าเมื่อคิดทบทวนกันให้ดี เราจะพบว่าสิ่งที่โรมัน ฮาร์ลีย์ ไดนาห์ เรเน่ รวมไปถึงตัวละครอื่นในเรื่องต้องเจอคือสิ่งที่มีอยู่จริงในชีวิตประจำวัน และการปฏิเสธการมีอยู่ของมันไม่ได้ทำให้ปัญหาเหล่านั้นหายไปแม้แต่น้อย
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/05-e1643380422617.jpg)
คำพูดที่โรมันพูดกับควินน์สะท้อนถึงวิธีคิดของระบบชายเป็นใหญ่ได้อย่างน่าสนใจ “You are trying to kill me. I’m the only one who can protect you. You know you can’t stand on your own, Quinn. You need me.”-เธอคิดจะฆ่าฉัน แต่เธอรู้ไหมว่า ฉันเป็นคนเดียวที่ปกป้องเธอได้ เธออยู่ด้วยตัวเองไม่ได้หรอกควินน์ เธอจำเป็นต้องมีฉัน
ขณะที่ควินน์เองก็ตอบโต้โรมันได้อย่างเจ็บแสบเช่นกัน “Your protection is based on the fact that people are scared of you. Just like they’re scared of Mr. J.”-การปกป้องของเธอ ที่จริงคือการที่เธอทำให้คนอื่นหวาดกลัว เหมือนกับที่พวกเขาหวาดกลัวต่อมิสเตอร์เจ
![](https://baankluayonline.bu.ac.th/wp-content/uploads/2022/01/B03.jpg)
การมีตัวละครเอกเป็นเพศหญิงไม่ได้ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนั้นเป็นหนังเฟมินิสต์ฉันใด การที่ตัวร้ายเป็นเพศชายก็ไม่ได้ทำขึ้นเพื่อเอาใจเหล่าเฟมินิสต์ฉันนั้น หนังหนึ่งเรื่องจะสามารถให้อะไรได้มากกว่าความสนุกในเวลาชั่วโมงครึ่งได้ก็ขึ้นอยู่ที่ว่าคุณจะเปิดใจรับฟังมันมากแค่ไหน เพราะเมื่อมาถึงจุดนี้แล้วคงปฏิเสธไม่ได้ว่า Birds of Prey (and the Fantabulous Emancipation of One Harley Quinn) ก็เป็นหนังเฟมินิสต์อย่างที่เขาว่าจริง ๆ นั่นแหละ
Reference & Bibliography
- อ่าน The Laugh of the Medusa: การเขียนผู้หญิง กับการเขียนของผู้หญิง. (2557, 30 มิถุนายน) สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2564, จาก https://prachatai.com/journal/2014/06/54330
- ขอขอบคุณภาพประกอบ DC Comics. สืบค้นเมื่อ 20 ธันวาคม 2564, จาก https://www.dccomics.com
Additional Information
ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา GE007 Art of Life, CA003 Art of Speaking, BR551 Social Broadcasting ภาคการศึกษาที่ 1/2 2564