วันนี้เมื่อหนึ่งปีที่แล้ว

วันนี้เมื่อสองปีที่แล้ว

วันนี้เมื่อสามปีที่แล้ว

การแจ้งเตือนใหม่ประจำวันมาพร้อมกับคำถามหนึ่งในใจ

เราจะต้องย้อนเวลากลับไปอีกนานแค่ไหน กว่าจะได้ออกไปสร้างความทรงจำใหม่กันอีกครั้ง

แต่ละคนมีวิธีบันทึกความทรงจำแตกต่างกันออกไป บ้างบันทึกด้วยของที่ระลึก บ้างบันทึกด้วยเพลงที่ฟัง บ้างบันทึกด้วยกล้อง DSLR ราคาสูงประจำตัว

แต่ไม่ว่าคุณจะบันทึกมันไว้อย่างไร อย่าลืมว่าสิ่งสำคัญคือมันสามารถบอกเล่าเรื่องราวให้ตัวคุณในอนาคตฟังได้อย่างครบถ้วนหรือไม่

และนี่คือเรื่องราวของเมืองเล็ก ๆ แห่งหนึ่งทางตอนเหนือของบาวาเรียที่ถูกเรียกว่า บ้าน ตลอดระยะเวลากว่า 10 เดือน ซึ่งถูกบันทึกผ่านกล้องฟิล์มใช้แล้วทิ้งที่ซื้อมาจากซุปเปอร์มาเก็ตตอนไปงาน Pride Parade ที่ต่างเมือง

กาลครั้งหนึ่งไม่ค่อยนานมานี้ ย้อนกลับไปที่ปี 2018

ณ เมืองชวาบาค (Schwabach) ประเทศเยอรมนี

ชวาบาคเป็นเมืองที่มีประชากรประมาณ 40,000 คน โดยถือเป็นเขตปกครองตนเอง (Kreisfreie Stadt) ที่ขึ้นชื่อเรื่องงานฝีมือที่ทำจากทองคำ ทั้งยังเต็มไปด้วยประวัติศาสตร์ที่น่าสนใจ ดังนั้นสถานที่แรกที่เราจะไปก็คงหนีไม่พ้น Schwabach Old Town หรือย่านเมืองเก่าของชวาบาคอันโด่งดัง

จตุรัสแห่งนี้เป็นที่ตั้งของตลาดประจำเมืองชวาบาค (Schwabach’s market square) ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองแห่งการค้าขายมาตั้งแต่ปีค.ศ.1303 และได้ถูกเรียกว่า Königsplatz เพื่อเป็นเกียรติแก่ราชวงศ์บาวาเรียในเวลาต่อมา

วันธรรมดาจะมีชาวเมืองมาตั้งแผงขายผัก ผลไม้ ต้นไม้ และดอกไม้สดอยู่ข้างน้ำพุซึ่งเป็นซิกเนเจอร์ของเมือง นอกจากนี้ Königsplatz ยังถูกใช้เป็นพื้นที่ในการจัดงานเทศกาลต่าง ๆ ตลอดทั้งปีอีกด้วย

หากให้พูดถึงหนึ่งสิ่งที่ประทับใจที่สุดก็คงหนีไม่พ้นข้อเท็จจริงที่ว่า จตุรัสแห่งนี้เป็นพื้นที่ปลอดรถยนต์โดยสิ้นเชิง ดังนั้นไม่ต้องห่วงเรื่องการจราจร เตรียมแรงขาให้พร้อมก็สามารถเดินเล่นหรือขี่จักรยานในวันอากาศดี ๆ แวะซื้อไอศกรีม กินเคบับ เข้าร้านหนังสือ หรือนั่งจิบโกโก้ร้อนคู่กับเค้กปลอดกลูเตนในร้านกาแฟที่ย่านเมืองเก่าแห่งนี้ได้อย่างสบายใจ

ถัดมาคือโบสถ์ประจำเมืองที่ตั้งตระหง่านเหนือย่านเมืองเก่าของชวาบาคนั่นก็คือ Stadtkirche St. Johannes und St. Martin ด้วยความสูงกว่า 71.5 เมตร ทำให้โบสถ์สไตล์โกธิกแห่งนี้สามารถมองเห็นได้จากระยะไกล

โบสถ์นี้เป็นโบสถ์หลักของเขตอีแวนเจลิคัลลูเธอรันแห่งชวาบาคที่สร้างขึ้นในศตวรรษที่ 15 เพื่ออุทิศให้กับนักบุญยอห์น บัปติสต์ (Johannes der Täufer) และนักบุญมาร์แต็งแห่งตูร์ (St. Martin von Tours) นอกจากนี้ยังเป็นที่ตั้งของแท่นบูชาที่เรียกว่า Schwabacher Altar อีกด้วย

ทั้งนี้แม้จะไม่เข้าไปชมความสวยงาม เรียนรู้ประวัติศาสตร์ หรือทำกิจกรรมทางศาสนาภายในโบสถ์ ก็ยังสามารถนั่งกินลมชมวิวรอบ ๆ ได้ เพราะบริเวณข้างอาคารมีลานทางเดินปูด้วยอิฐพร้อมม้านั่งใต้ร่มไม้ใหญ่ ให้สามารถพักอ่านหนังสืออย่างสบายหรือจะนั่งทำงานด้วย wifi สาธารณะสุดไวก็ไม่มีปัญหา

หากมองไปรอบ ๆ เราจะพบว่าตึกรามบ้านช่องของเมืองชวาบาคเป็นสถาปัตยกรรมที่สืบทอดมาจากช่วงเวลาของการฟื้นฟูหลังการทำลายล้างครั้งใหญ่ในสงครามสามสิบปี (Thirty Years’ War) ในช่วงศตวรรษที่ 17-18 ดังนั้นไม่ว่าคุณจะหันไปทางไหนก็สามารถเห็นอาคารบ้านเรือนที่มีหลังคาทรงจั่วสูงชัน และการก่อสร้างแบบครึ่งปูนครึ่งไม้ ทั้งยังมีกลิ่นอายแบบบาโรกอยู่ทุกที่ ซึ่งเรียกได้ว่าเป็นสเน่ห์อย่างหนึ่งของชวาบาคเลยทีเดียว

เดินเท้าเพียงไม่กี่นาทีจากใจกลางเมืองก็จะเจอกับสถานที่สุดท้ายที่เราจะไปกัน ซึ่งถือได้ว่าเป็นสถานที่สำหรับการผ่อนคลาย ไม่ว่าจะวิ่งจ็อกกิ้ง ปิกนิก หรือเพียงแค่พักผ่อนในวันที่อากาศดี นั่นก็คือ Schwabach Stadtpark หรือสวนสาธารณะประจำเมืองชวาบาคนั่นเอง

ด้วยพื้นที่กว่า 11.7 เฮกตาร์ (ราว 3 สนามฟุตบอล) สวนสาธารณะแห่งนี้จึงถือเป็นสวนสาธารณะที่ใหญ่ที่สุดในเมืองหรือเป็น ปอดสีเขียว ของชวาบาคเลยก็ว่าได้ และเฉกเช่นเดียวกับสวนสาธารณะหลายแห่งในเมืองอื่น ๆ สวนสาธารณะแห่งนี้ได้รับการวางแผนและจัดวางในช่วงครึ่งหลังของศตวรรษที่ 19 โดยบริเวณทางเข้าสวนสาธารณะถูกขนาบข้างด้วยสิงโตเหล็กหล่อสองตัวที่มีตราแผ่นดินบาวาเรียตั้งไว้ตั้งแต่ปี 1901 เมื่อเดินผ่านเหล่าต้นไม้น้อยใหญ่ที่ถูกปลูกไว้กว่าหลายร้อยปี ก็จะพบกับสระน้ำที่มีทั้งเป็ด ห่าน และหงส์ ทางเดินโค้งคู่ทุ่งหญ้าสีเขียวขนาบข้างในฤดูใบไม้ผลิ และศาลาดนตรีซึ่งเป็นศูนย์กลางของสวนสาธารณะของเมืองที่ถูกใช้เป็นสถานที่จัดงานดนตรีในทุกฤดูร้อน

สวนสาธารณะแห่งนี้ไม่ได้เพียงเป็นสถานที่สุดท้ายที่เราพูดถึงกันในวันนี้ แต่ยังเป็นสถานที่สุดท้ายที่อดีตนักเรียนแลกเปลี่ยนคนนี้ได้ไปก่อนจะกลับประเทศไทยในวันถัดมาด้วยเช่นกัน

ดังนั้นไม่ว่าเวลาจะผ่านไปหนึ่งปี สองปี หรือกี่ปี แต่ความทรงจำจะยังคงหวนกลับมาทุกทีที่เลื่อนไปเจอภาพฟิล์มเหล่านี้อีกครั้ง พร้อมความหวังจะกลับไปสร้างความทรงจำใหม่ในสถานที่เดิมเข้าสักวัน

Reference & Bibliography

Additional Information

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา GE007 Art of Life, CA003 Art of Speaking, BR551 Social Broadcasting ภาคการศึกษาที่ 1/2 2564

Writer & Photograher

ไม่มีหรอกนักศึกษา นักเขียน หรือนักกิจกรรม จะมีก็แต่คนที่เหนื่อยล้าจากสังคม ที่บังคับให้เราต้อง productive ไปวัน ๆ ทว่ายังคงมองหาความสงบบนหน้ากระดาษ และภาพยนตร์ในวัยเด็กอยู่เสมอ