หนึ่งในประเทศในฝันของใครหลายคน คงหนีไม่พ้น ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ ที่ขึ้นชื่อเรื่องการอยู่กับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี ประเทศที่ไม่มีทะเล แต่กลับเป็นประเทศที่มีชื่อเสียงในทรัพยากรที่ลํ้าค่าและสวยงาม

ช่วงฤดูหนาว ภูเขาปกคลุมไปด้วยหิมะ เป็นฤดูแห่งการเล่นสกี ส่วนฤดูร้อนและใบไม้ผลิที่สวยงามเหมาะแก่การพักร้อนที่ทะเลสาบ ป่าสีเขียวที่กลมกลืนไปกับสถาปัตยกรรมของบ้านเรือนที่น่าค้นหา นาฬิกาที่มือชื่อเสียงอย่างมากมาย ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงแห่งนาฬิกา และสวิตเซอร์แลนด์มีสมญานามที่เราเรียกกันว่า สวรรค์บนดิน

มาย้อนวันวานชมความงาม ความเรียบง่าย และใกล้ชิดธรรมชาติไปด้วยกัน

Zurich

เมืองที่พลาดไม่ได้ Zurich เพราะเป็นคือเมืองท่าสำคัญและใหญ่ที่สุดในประเทศสวิตเซอร์แลนด์ เมืองที่ใครต่อหลายคนคิดว่านี่คือเมืองหลวง แต่แท้จริงแล้วไม่ใช่เลย

เหตุผลที่คนเข้าใจผิดนั้น อาจจะเป็นเพราะการนั่งเครื่องบินมาลง ด้วยสภาพเมืองที่มีคนนับล้าน เต็มไปด้วยสีสันและชีวิตชีวาที่เรียบง่าย เป็นอีกเมืองที่ผู้คนอยู่อย่างหนาแน่น และมีมนต์สเน่ห์ที่น่าค้นหาอยู่มากมาย

การเดินทางของผู้เขียน ได้เดินทางมาจาก Basel Bahnhof สถานีรถไฟบาเซิล เมืองที่ผู้เขียนอยู่ ตรงไปที่ Zurich Bahnhof เมื่อคุณถึงสถานีรถไฟซูริคแล้ว ส่วนที่คุณควรตรงไปที่แรกก็คือทะเลสาบซูริคที่ทอดยาวพาดผ่านกลางเมืองแบ่งเมืองออกเป็นเขตเมืองเก่า และเมืองใหม่

นํ้าที่ใสจนเห็นพื้นหินข้างล่าง ฝูงหงส์ที่ว่ายนํ้ากันอย่างสวยงาม ถ้าเรามองจากฝั่งเมืองเก่าไปยังอีกฝั่งที่เป็นเมืองใหม่เราก็จะสามารถเห็นโบสถ์ Fraumünster ตั้งสูงตระหง่านอยู่ริมทะเลสาบ

ถ้าเหลียวมองไปเราคงจะเห็นโบสถ์ Grossmünster สถาปัตยกรรมโรมัน นิกายโปรแตสแตนท์ ที่เป็นหอคอยโดดเด่นคู่กัน ตกแต่งไปด้วยหินและยังได้รับการอนุรักษณ์เป็นอย่างดี และสำหรับคอชอปปิ้งคงพลาดไม่ได้กับถนนบานโฮฟซตราสเซอ บานโฮฟที่แปลว่าสถานีรถไฟ ถนนที่เต็มไปด้วยร้านแบรนด์เนม และเครื่องสำอางชื่อดัง

Thun

เมืองแห่งทะเลสาบและภูเขา ที่มีชื่อพยางค์เดียวว่า Thun จุดที่น่าตื่นเต้นที่สุดคือ การที่เราล่องเรือจากฝั่ง Thun มุ่งหน้าไปที่ Interlaken การเดินทางครั้งนี้ ผู้เขียนเดินทางมาจากแคมป์บ้านริมทะเลสาบของคุณน้าที่ Campingplatz Arbogast บริเวณทะเลสาบ Bielersee มุ่งตรงไปสู่เมือง Thun ด้วยระยะทางที่ไม่ใกล้ไม่ไกล เพียง 65 กิโลเมตรสู่โรงแรม Hotel Krone Thun ตัวโรงแรมที่อยู่กลางเมืองทำให้สามารถเดินทางไปยังสถานที่ต่าง ๆ ได้ง่าย และไม่ไกลจากจุดขึ้นเรือ

การเดินไปขึ้นเรือ เราต้องตื่นตั้งแต่ 6 โมงเช้าเพื่อที่จะข้ามฝั่งไป Interlaken เรือออกจากท่าเวลาประมาณ 8.40 น. ตรงเป๊ะไม่มีการรอและไม่มีล่าช้าตามวัฒนธรรมของชาวสวิส เมื่อเรานั่งเรือไป ก็ได้พบกับสายหมอกในยามเช้า และสัมผัสได้ถึงอากาศที่บริสุทธิ์จากทิวเขาที่โอบล้อมทะเลสาบอยู่ทั้งสองข้าง นํ้าที่ใสดั่งมรกต สะกดทุกสายตาเมื่อออกเดินเรือ เราจะได้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของทะเลสาบ Thun ตลอดระยะเวลา 2 ชั่วโมง ระยะทางกว่า 50 กิโลเมตรกันเลยทีเดียว

หากกลัวร้อนจากแสงแดดสามารถไปอยู่ในห้องด้านในเรือได้ แต่ถ้าใครชอบบรรยากาศเหมือนผู้เขียน ก็สามารถมาที่ปลายหางเรือได้เลยถือเป็นมุมที่วิวสวยที่สุด ระหว่างการเดินเรือ เราจะเห็นปราสาทมากมายที่เรือจะค่อยล่องช้าลง เพื่อให้เราชมความสวยงาม สองข้างฝั่งจะมีโรงแรมและเมืองที่อยู่ท่ามกลางธรรมชาติที่ใครเห็นก็ต้องหลงใหลกับความสวยงามที่ปรากฎอยู่เบื้องหน้าและแล้วเรือก็จอดเทียบท่าสู่เมือง Interlaken

Interlaken

ดื่มด่ำกับอากาศบริสุทธิ์ Interlaken เมืองที่คนไทยหลายคนคุ้นชื่อกันดี เพราะเป็นเมืองที่พักตากอากาศชื่อดัง เป็นที่นิยมสำหรับหลายคนที่ชอบบรรยากาศของประเทศสวิตเซอร์แลนด์อยู่ไม่น้อย

เมื่อเรามาเที่ยว Thun ก็พลาดไม่ได้ที่จะมา Interlaken เพราะเป็นเมืองที่ถัดกันมาไม่ไกลจากกันมาก มีทะเลสาบ Thun ที่แบ่งระหว่างสองฝั่ง การเดินทางสามารถมาทางรถไฟหรือรถบัสได้ แต่สำหรับผู้เขียนแล้วมาด้วยเรือถือว่าเป็นการเดินที่คุ้มค่าต่อการเสียเวลามากที่สุด เพราะจะได้ดื่มด่ำไปกับบรรยากาศยามเช้าและสูดอากาศอันบริสุทธิ์ของประเทศสวิตเซอร์แลนด์

จุดเด่นของเมืองก็หนีไม่พ้น Top of Interlaken จุดชมวิวที่สูงที่สุดของ Interlaken ที่จะมองเห็นวิวแบบพาโรนามา 360 องศา การเดินคือขึ้นไปโดยกระเช้าขึ้นไปบนภูเขา Harder Kulm แต่แอบบอกว่ากระเช้าร้อนมากไม่มีแอร์หรือพัดลม ก็อย่างที่ทราบชาวตะวันตกเขาชอบอากาศร้อน

เมื่อขึ้นมาถึงด้านบนแล้วเราก็ต้องเดินอีกนิด เพื่อไปที่จุดชมวิว แต่ควรระวังในการเดินเป็นอย่างมาก เพราะทางค่อนช้างชันเล็กน้อย และเมื่อเรามาถึงจุดชมวิวแล้วก็จะมีโรงแรมและร้านขายของเป็นจุดที่นั่งพัก เราจะมองเห็นวิวแบบสุดลูกหูลูกตา จนมองไปเห็นถึงฝั่ง Zermatt กันเลยทีเดียว จุดถ่ายรูปเราแอบหวาดเสียวตรงที่ต้องไปถ่ายบริเวณที่ยื่นออกไปจากภูเขา แต่รับรองสิ่งที่คุณเห็นข้างหน้าคุณจะลืมความสูงไปเลย!

อีกมุมที่สวยมากคงเป็นลานกว้างกลางเมือง เป็นสถานที่เล่นเครื่องร่อน อีกทั้งการขึ้นไปชมวิวความสวยงามของเมือง มีบริการขึ้นเครื่องร่อนอีกด้วย

คนที่ไม่กลัวความสูงผู้เขียนขอแนะนำ แต่ส่วนตัวผู้เขียนนั้นขอไม่ดีกว่า ส่วนใครที่ชอบ Casino คงพลาดไม่ได้กับ Casino Interlaken ที่ตั้งตระหง่าอยู่ท่ามกลางธรรมชาติของเมือง ผู้เขียนขอแอบบอกว่าได้มีโอกาสไปเล่นตู้ Slot ลงเงินไปไม่กี่ฟรังส์แต่ได้กลับมาถึง 200 ฟรังส์หรือประมาณ 6,000 บาทเลยทีเดียว แต่ขอแนะนำว่าการพนันเป็นสิ่งที่เราต้องเสี่ยงควรระวังเป็นอย่างมาก เสียดายที่เราไม่สามารถเก็บภาพภายในมาได้เพราะเขาห้ามถ่ายรูป

ตกเย็นผู้เขียนก็นั่งรถบัสกลับไปที่ Thun เพราะไม่ทันเรือรอบสุดท้าย แต่ที่มากกว่านั้นคือ ผิวของผู้เขียนได้ไหม้และเบิร์น ทั้งที่ทากันแดดที่หนามาก แต่เราเข้าใจได้เพราะวันนั้นอุณหภูมิสูงถึงเกือบ 40 องศา

Niederhorn

เมื่อเราเต็มอิ่มกับบรรยากาศเมืองไปแล้ว เราหันกลับเข้ามาหาธรรมชาติดีกว่า สถานที่นี้ก็คือ Niederhorn เทือกเขาที่อยู่ระหว่าง Thun และ Interlaken สถานที่ที่ไม่ค่อยได้รับความนิยมมากนัก แต่วิวทิวทัศน์ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติของป่าเขา ต้นไม้ที่ยังปกคลุมอยู่เต็มพื้นที่

อุทยานยังมีบริการกระเช้าที่ขึ้นไปบนยอดเขา เพื่อชมวิวของเมือง แต่ที่น่าตื่นเต้นก็คือกิจกรรมที่ดูเหมือนจักรยานแต่รูปร่างคล้ายสกู๊ตเตอร์อย่างมาก เราอาจจะเหนื่อยหน่อยกับกิจกรรมนี้แต่รับรองได้ว่าเมื่อเราค่อย ๆ ไต่ระดับจากด้านบนลงไปตามทิวเขาแล้ว เราจะต้องรู้สึกทึ่งกับธรรมชาติที่มองออกไปที่ทะเลสาบ Thun เป็นอย่างมาก เรียกว่าถ่ายรูปได้ทุกมุมเลยทีเดียว แต่ไม่แนะนำสำหรับคนที่กลัวความสูงเป็นอย่างยิ่ง มีทางที่หลีกเลี่ยงได้คือลงกระเช้าหรือจะเลือกเดินเท้าตามสะดวก ทว่าการดื่มด่ำกับธรรมชาติก็จะแตกต่างกันเท่านั้นเอง

วันชาติของสวิตเซอร์แลนด์

การเดินทางก็ใกล้ถึงวันสิ้นสุด รวมแล้วผู้เขียนใช้เวลาอยู่ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถึง 3 เดือน ตั้งแต่เดือนมิถุนายน ถึง สิงหาคม 2019 กลับมาต้นเดือนก่อนเปิดเทอมปี 3 พอดี ต้องเท้าความก่อนว่าทุกวันที่ 1 สิงหาคมของทุกปีนั้น เป็นวันชาติของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ และผู้เขียนก็ได้มีโอกาสอยู่ที่นี่ และได้ร่วมงานที่หมู่บ้านแคมป์ปิ้งริมทะเลสาบของคุณน้าที่ Campingplatz Arbogast บริเวณทะเลสาบ Bielersee

การจัดงานเต็มไปด้วยสีแดงและธงชาติของประเทศสวิตเซอร์แลนด์ มีการร้องเพลงร่วมกัน และสวดมนต์ของทุกคนในแคมป์ปิ้ง แต่มื้อคํ่าที่สุดตื่นเต้นก็คือชีสแสนอร่อยอย่าง Raclette อาหารประจำชาติสวิสที่จะนำชีสก้อนโตไปอังกับเตาและปาดราดลงไปบนขนมปังหรือเครื่องเคียงที่อยู่ในจาน ถือว่าเป็นการเปิดประสบการณ์ใหม่

อีกทั้งฟองดูที่ผู้เขียนไม่ค่อยจะถูกปากสักเท่าไหร่ ด้วยความที่มีการผสมแอลกอฮอลล์ลงไปด้วย ทำให้รสชาติเฝื่อนเล็กน้อย ภายในงานลูกเจ้าของแคป์ปิ้งก็ได้ลงทุนในการรังสรรค์อาหารประจำชาตินี้ด้วยตัวเองให้ทุกคนได้ลิ้มรสชีสอันแสนอร่อย

สำหรับ Raclette มีรสชาติที่อร่อยมากบวกกับเครื่องเคียงที่เป็นเห็ดและผักที่หลากหลาย ต้องขอบคุณเจ้าของแคมป์ปิ้งที่จัดงานนี้ขึ้นมา การได้เดินทางมาสัมผัสความงามของทะเลสาบครั้งนี้ ผู้เขียนคาดว่าในอนาคตจะกลับมาอีกแน่นอน

อย่างไรก็ตาม การเปิดประสบการณ์ใหม่ในต่างแดนของผู้เขียนนั้นไม่ใช่การไปทัวร์แต่อย่างใด เป็นการไปเที่ยวกับครอบครัว ที่อาจจะมีค่าใช้จ่ายค่อนข้างมาก ผู้ที่ต้องการไปประเทศสวิตเซอร์แลนด์ การเดินทางด้วยวีซ่าเช้งเก้นเป็นการเดินทางที่คุ้มค่าที่สุดเพราะเราจะสามารถไปเที่ยวประเทศที่อยู่ในเช้งเก้นได้อีกด้วย และถ้าเป็นคอเที่ยว ขึ้นรถไฟบ่อยก็ขอแนะนำ EURO PASS ก็เป็นอีกตัวเลือกหนึ่งในการเดินทางที่สามารถใช้ได้ทั่วยุโรปเช่นกัน

ประเทศสวิตเซอร์แลนด์ถือว่าเป็นประเทศที่ค่าครองชีพสูงอันดับต้น ๆ ของโลกและทวีปยุโรป คนที่จะมาประเทศนี้ควรวางแผนการเงินให้ดี ไม่ใช่แค่เงินในบัญชีแต่เป็นเงินติดกระเป๋าด้วยเช่นกัน เพราะค่าครองชีพค่อนข้างแพงพอสมควร

ถึงอย่างนั้น เราก็คิดว่าคุ้มค่าที่จะมาสัมผัสความงามของธรรมชาติ วัฒนธรรม และวิถีชีวิตของผู้คนที่สวิตเซอร์แลนด์สักครั้งในชีวิต

Additional Information

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา BR402 Youtube Production, BR404 Broadcasting Project ภาคการศึกษาที่ 1/2 2564

Writer & Photographer

นักศึกษาสาขาวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และการผลิตสื่อสตรีมมิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เป็นคนชื่นชอบประวัติศาสตร์ เรื่องราวในอดีต ประวัติศาสตร์ไม่ใช่แค่บอกรากเหง้าแต่ยังได้เรียนรู้ความคิดคน สนใจเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ แฟชั่น ภาพถ่าย และการท่องเที่ยว เวลาว่างมักจะฟัง Podcast ของ Channel Salmon เป็นประจำ