เคยมีประสบการณ์เป็นเด็กหอบ้างไหม ชีวิตเด็กหอมีอิสระ มีเพื่อน ได้ทำกิจกรรมน่าสนุกมากมาย และยังได้ฝึกความรับผิดชอบของการอยู่ร่วมกันในสังคมด้วย แต่การต้องจากบ้านที่อบอุ่นมาอยู่หอ ทำให้เรากับเพื่อนร่วมห้องต่างต้องพบกับประสบการณ์ที่ไม่คาดฝัน และเราไม่เคยลืมเลยจนถึงทุกวันนี้

หมายเหตุ เรื่องราวที่แบ่งปันเป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียน โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน

เมื่อสองปีที่แล้ว ก่อนที่จะย้ายมาเรียนที่มหาวิทยาลัยกรุงเทพ เราเคยเรียนมหาวิทยาลัยอื่น และอยู่หอภายในมหาวิทยาลัย เรียกกันโดยย่อว่า ‘หอใน’ เด็กมหาวิทยาลัยคงคุ้นเคยกันดีกับการอยู่หอ เราอยู่หอในเหมือนกับเด็กปีหนึ่งทั่วไป การอยู่หอเป็นทางเลือกที่ดีเพราะสามารถประหยัดค่าเช่าห้อง ค่าน้ำ ค่าไฟไปได้ค่อนข้างมากต่อเดือน

กฎของหอมีอยู่ว่า ห้องหนึ่งอยู่กันสามคน วันที่เราต้องเผชิญหน้ากับสิ่งที่หาคำตอบไม่ได้ มีแค่เรากับเพื่อนอีกคนที่อยู่ในห้อง เพื่อนคนที่สามออกไปอ่านหนังสือนอกหอ เพื่อเตรียมการสอบกลางภาค

เรากล้าบอกได้เต็มปากว่าหอที่เราอยู่ค่อนข้างผ่านการใช้งานมานานพอสมควร มีรุ่นพี่บอกว่าหอพักเคยได้รับการปรับปรุงหรือซ่อมแซมมาแล้ว แต่เราคิดว่าเขาคงทำมานาน เพราะหากดูจากภายนอก สภาพตัวอาคารค่อนข้างทรุดโทรมลง

ลักษณะหอด้านในเป็นไม้อัดบาง มีสีคล้ายไม้โอ๊ก ทำให้ทางเดินเชื่อมตรงกลางหอดูทึบมาก ถึงแม้เป็นเวลากลางวันที่แสงอาทิตย์ส่องสว่างจ้าแค่ไหนก็ตามก็ยังดูอึมครึม ยิ่งกลางคืนไม่ต้องพูดถึง เพราะถ้าไม่ได้ติดไฟทางเดินหรือหน้าห้องใดไฟเสีย ถือได้ว่าบรรยากาศไม่ต่างจากภาพยนตร์สยองขวัญเท่าใดนัก

ส่วนตัวเราเป็นคนไม่ได้กลัวสิ่งลี้ลับมากนัก ทว่าก็มีบ่อยครั้งที่เราสามารถรับรู้เรื่องที่ไม่ปกติ และนี่เป็นความเชื่อส่วนบุคคล เราสัมผัสได้ว่า ‘พวกเขา’ ก็อยู่ในหอร่วมกับเราเช่นกัน เพียงแค่อาจจะมองไม่เห็นชัดเจน แต่ยังสัมผัสถึงการมีอยู่ของเขาได้บ้าง เมื่อถึงช่วงจังหวะเวลาเหมาะสม พวกเขาก็จะแสดงตัวตนให้เห็น

เหตุการณ์ที่เรากับเพื่อนได้พบ เป็นสิ่งยืนยันว่าเราพบกับพวกเขาแล้ว เรารู้ว่าพวกเขาน่าจะมีตัวตนอยู่ในมิติใดมิติหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นการได้ยิน การมองเห็น หรือแม้แต่ความรู้สึกที่ว่าพวกเขาอยู่ไม่ไกลจากเรา

คืนซ้อมเชียร์กีฬาสีเท่าที่พอจำได้จัดขึ้นในช่วงกลางเดือน บรรยากาศด้านนอกหอค่อนข้างเงียบ นักศึกษาส่วนมากต้องเข้าร่วมกิจกรรมซ้อมเชียร์ แน่นอนว่าบรรยากาศในหอก็เงียบเช่นกัน ส่วนมากนักศึกษากลับมาดึก และกลับมากันในสภาพหมดเรี่ยวหมดแรง พวกเขามักทำธุระส่วนตัวให้เสร็จเร็วที่สุดก่อนจะเข้านอน ธุระส่วนตัวที่หมายถึงคือการอาบน้ำ

เรากับเพื่อนที่พลังเยอะกันมาก ช่วงปีหนึ่งเอาแต่คุยเล่นกัน เพราะคณะเราเป็นคณะส่วนน้อยที่ไม่มีซ้อมเชียร์ จึงได้แต่ถามประสบการณ์จากเพื่อนจากคณะอื่น เพื่อนเราก็คุยเก่งมาก คุยกันจนเวลาล่วงมาราวสี่ห้าทุ่ม ทำให้ยังไม่ได้อาบน้ำ เมื่อนึกได้จึงพากันมาอาบน้ำ ภาพที่เห็นห้องน้ำตอนนั้นโล่งมาก ไม่มีใครอยู่ ทั้งที่ปกติมักมีนักศึกษาต่อคิวกันอาบน้ำมากมาย

เราคุยกับเพื่อนว่า พวกเราโชคดีมาก คนอื่นเขาคงเหนื่อยจนไม่อาบน้ำกันแล้ว ยังหยอกกันเล่นไปมา ก่อนแยกกันเข้าห้องอาบน้ำ เราอาบอยู่ห้องสองถัดจากประตูทางเข้า ส่วนเพื่อนเราอาบห้องด้านในสุด

มือเอื้อมไปเปิดฝักบัว อาบน้ำไปได้สักพัก นอกจากเสียงน้ำไหลยังมีอีกหนึ่งเสียงแทรกดังขึ้นซ้อนกับเสียงน้ำ เป็นเสียงผู้หญิง เธอฮัมเพลง เสียงเพลงเริ่มดังกลบเสียงน้ำ ทำนองคล้ายเพลงโบราณที่ไว้กล่อมลูกให้หลับใหลยามค่ำคืน คล้ายกับเพลง ‘วัดโบสถ์’

เสียงของเธอแค่ฮัมเพียงเท่านั้น ไม่ได้มีเนื้อร้อง เป็นทำนองที่เอื้อนออกมา ขณะนั้นเรายังคิดว่าเพื่อนเราคงซ้อมเพลงเชียร์คณะขณะอาบน้ำไปด้วย เมื่อเราอาบน้ำเสร็จเสียงเพลงก็ไม่ได้หยุดไปเสียทีเดียว เราสังเกตว่าเมื่อปิดน้ำเสียงจึงค่อยเบาลงจนกระทั่งเงียบไป

จากนั้นเราหยิบอุปกรณ์อาบน้ำพร้อมเดินกลับห้องของตัวเอง สักพักใหญ่หลังจากเพื่อนในห้องน้ำทำธุระส่วนตัวของเธอเสร็จ เสียงประตูเปิดทำให้เรารู้ได้ทันทีว่าเพื่อนเราอาบน้ำเสร็จแล้ว เธอเดินเข้ามาด้วยใบหน้าช่างฉงนและถามเราว่า “เมื่อกี้ร้องเพลงเหรอ ?” เราจึงปฏิเสธไปพร้อมอธิบายว่า ตัวเราเองคิดว่าเพื่อนเป็นคนฮัมเพลงด้วยซ้ำ

เมื่อรู้ว่าเราทั้งคู่ไม่มีใครร้องเพลงและไม่มีใครฮัมเสียงใด พวกเราต่างพากันเงียบ จนทำให้บรรยากาศวังเวงไปมากกว่าเดิม เพื่อนของเราจึงทำลายบรรยากาศหม่นมัวที่แสนจึงกลืนไม่เข้าคายไม่ออก ด้วยการชวนมาสวดมนต์แล้วรีบพากันเข้านอน

หลังจากนั้นเราสองคนได้ตระหนักว่าเราไม่ควรอาบน้ำหลังสามทุ่ม หรือหากค่ำแล้วไม่มีคนในห้องน้ำ เราจะเลี่ยงไม่ใช้ห้องน้ำกัน เพื่อไม่ให้แขกที่ไม่ได้รับเชิญมาร่วมอาบน้ำด้วย

เรากับเพื่อนคิดว่าเรื่องทั้งหมดคงจบลงแค่คืนนั้น เราไม่ควรเจอเรื่องลึกลับอีกต่อไป แต่เกลียดอะไรมักได้อย่างนั้น ดังโบราณว่า เพราะวันดีคืนดีที่เรากลับมาถึงห้องตอนช่วงโพล้เพล้

วันนั้นเราพยายามไขประตูห้องพัก แต่เพื่อนด้านในเปิดให้เสียก่อน เพื่อนคนนี้เป็นคนละคนกับที่ได้ยินเสียงผู้หญิงในห้องน้ำกับเราเมื่อคืนก่อน รูมเมทคนนี้เรียนแพทย์ ฉะนั้นเราขอเรียกเธอว่า ‘หมอ’ เพราะเรากับรูมเมทอีกคนมักเรียกเธอด้วยคำสรรพนามนี้เสมอ

พอหมอเปิดประตูออกมาก็ยิ้มทักทายเราตามปกติ สิ่งที่ไม่ปกติ ไม่รู้ว่าหมอจะรู้ทันเราไหม

หลังจากเราได้ทักหมอว่า “หมออยู่ห้องคนเดียวเหรอ”

หมอจึงตอบกลับมาว่า “ใช่ ๆ พอดีรูมเมทอีกคนยังไม่กลับมา”

หมออาจจะไม่ได้สังเกตคำทักทาย เพราะเราจะไม่ทักเธอด้วยประโยคชวนสงสัยแบบนี้แน่ เพราะภาพที่เราเห็นรางเลือนระหว่างนั้นคือเด็กผู้ชายวัยกำลังซน กำลังปีนเตียงชั้นสองของหมออยู่คาสองตาของเรา

“ทำไมเหรอ” หมอถามเรากลับบ้าง เราดึงสติกับมาอีกครั้ง เมื่อหมอทัก ก่อนตอบหมอกลับไปว่า “ไม่มีอะไรหรอก”

ในใจยังคิดมาตลอดว่าหมอเขาอยู่คนเดียวในห้อง ทั้งที่มีเด็กอีกคนอยู่ด้วย จะมีสักครั้งไหมที่หมอรู้สึกถึงการมีตัวตนของวิญญาณน้องผู้ชาย และคำถามของเราก็ได้รับคำตอบเป็นการกระทำของหมอ เพราะหลังจากนั้นไม่นาน เธอเดินมาบอกเรากับรูมเมทอีกคนว่า จะย้ายออกไปอยู่หอนอก

ตอนนั้นเธอให้เหตุผลในการย้ายออกเพราะอยากได้ที่อ่านหนังสือที่เงียบสงบ อีกทั้งห้องที่อยู่ตรงข้ามมักคุยกันเสียงดังทุกคืน เราต่างไม่ได้ติดใจอะไร เคารพการตัดสินใจของรูมเมทหมอ ท้ายที่สุดหมอก็ย้ายออกไป

เวลาผ่านไปจนเราเข้าปีสองเทอมแรก เราได้เจอกับรูมเมทหมออีกครั้งขณะนั่งรถโดยสารของมหาวิทยาลัย เพื่อไปเรียนในช่วงเช้า หมอได้ถามสารทุกข์สุขดิบเรา จนกระทั่งเธอเหมือนอึดอัดใจเรื่องบางอย่างที่เคยเกิดขึ้นในหอ แต่ไม่ได้บอกเราจนเวลาล่วงมา

การเจอกันวันนั้น เธอเปิดใจเล่าว่าเย็นวันหนึ่งตอนช่วงปีหนึ่ง เธอเหนื่อยมากจากการเรียนวิชาพละเพื่อเก็บหน่วยกิต เธอกลับมาห้องสภาพไม่ค่อยมีแรง แต่ถือของมาเต็มมือทั้งอุปกรณ์เรียนพละและหนังสือ เธอจึงเคาะประตูเพื่อหวังให้เพื่อนด้านในเปิดให้

ตอนนั้นเธอเข้าใจว่าเรากับรูมเมทอีกคนคงกลับถึงห้องกันแล้ว เธอเคาะประตู แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จึงตะโกนขอให้เรากับเพื่อนอีกคนให้ช่วยเปิดประตูให้ เธอได้ยินเสียงเรากับเพื่อนตอบรับกลับมาจากในห้อง ขณะที่ยืนรอสักพัก แต่ไม่มีใครออกมาเปิดประตูให้เสียที

เธอจึงวางของและไขกุญแจเข้าไปเอง สิ่งที่พบคือในห้องไม่มีใครและห้องปิดทึบทั้งประตูและหน้าต่าง หากบอกว่าเป็นเสียงจากด้านนอกลอดเข้ามาในห้อง ทำให้เธอเข้าใจผิดก็ไม่น่าเป็นไปได้ เพราะเธอยืนยันว่าเสียงที่ตอบรับมาค่อนข้างชัด เธอมั่นใจว่าเป็นเสียงของเรากับเพื่อนรูมเมทอีกคน

ส่วนตัวเราเชื่อคำเล่าของหมอ เพราะเธอเล่ามาแบบคนมีความทุกข์ เธอกลัว ตัดสินใจย้ายออก ตอนแรกที่ไม่บอกเราเพราะกลัวว่าเราจะกลัวเหมือนกัน เธอจึงย้ายออกมาตามลำพัง เรื่องไม่ได้หยุดอยู่แค่นั้น เพราะบางสิ่งที่อยู่ในห้อง ยังคงวนเวียน แม้ว่าเราจะย้ายออกจากหอแห่งนั้นมาแล้ว

เพื่อนที่เป็นรูมเมทคนสุดท้ายยังคงอยู่ห้องเดิมจนจบปีสอง เมื่อเธอขึ้นปีสามจึงได้ย้ายออกจากหอนั้น เรายังคงติดต่อกันผ่านทางโทรศัพท์ เราจึงเล่าเรื่องเด็กผู้ชายที่ปีนขึ้นเตียงชั้นสอง ซึ่งเป็นเตียงของรูมเมทหมอให้กับเพื่อนของเราฟัง เพื่อนฟังจบเธอก็เล่าเรื่องของเธอบ้าง

เธอบอกว่าเราไม่ได้คิดไปเองว่ามีบางสิ่งที่มองไม่เห็นอยู่ร่วมกับพวกเรา เพราะช่วงเทอมสองที่เรากับหมอย้ายออกมาแล้ว ในห้องจึงเหลือเธอคนเดียว ขณะที่เธอนอนเตียงเดี่ยวของตัวเองพลางเล่นโทรศัพท์ไปด้วย เตียงด้านข้างที่ว่างอยู่ก็สั่นโดยเธอไม่ได้ไปยุ่ง ขณะที่เธอเล่าดูจริงจังมาก

เราจึงผ่อนคลายโดยการแซวว่า เธอไปชนเตียงเองหรือเปล่า แต่เธอปฏิเสธเสียงแข็งบอกว่า เธอนอนอยู่ดี ๆ แต่ขาเตียงก็สั่นเอง เป็นแรงสะเทือนที่เธอรู้สึกได้ เพราะเตียงที่เธอนอนก็มีหัวเตียงเหล็ก มันชนกับเตียงสองชั้นพอดิบพอดี เธอยังเล่าว่าเธอพยายามไม่คิดอะไร เพราะเธอต้องอยู่ให้ได้ แม้ว่าสิ่งที่ต้องอาศัยร่วมด้วยจะเป็นอะไรก็ตาม

ทั้งหมดเป็นเหตุการณ์ที่เราได้มีประสบการณ์ร่วมกับเพื่อนอีกสองคน แม้สิ่งที่เราเจอยังเป็นประสบการณ์ที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ หากแต่ว่าสิ่งที่เราอยากบอกกับทุกคนคือเรื่องเหล่านี้เป็นความเชื่อ ถ้าเราไม่เชื่อ ไม่ว่าด้วยเพราะพิสูจน์ไม่ได้หรืออย่างไรก็ตาม แต่เราควรเคารพความคิดเห็นของคนที่เขาเชื่อ

กลับกันคนที่เชื่อก็ควรเชื่ออยู่บนหลักของเหตุผล เพราะทุกอย่างที่เป็นความเชื่อ ถ้าคิดในแง่ดีอาจจะมีวัตถุประสงค์ให้คนทำความดีและหวาดกลัวการทำผิด หรือบางครั้งความเชื่อยังเป็นอีกหนึ่งในสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ และทำให้คนหมู่มากอยู่ร่วมกันได้

เรื่องราวที่เกิดขึ้นของเรากับเพื่อน ความเชื่อที่เหมือนกันทำให้เรารู้สึกมีประสบการณ์ร่วมกัน เข้าใจกันได้มากขึ้น และที่สำคัญการเคารพความคิดของกันและกันเป็นสิ่งสำคัญมากที่ทำให้เราอยู่ร่วมกันได้

ไม่ว่าคุณจะเชื่อเรื่องที่เราเล่ามาหรือไม่ แต่เรากับเพื่อนได้เผชิญหน้ากับประสบการณ์นี้ คนเราไม่มีทางรู้ได้ว่าสิ่งที่ได้อ่าน ได้รับชม รับฟังมาเป็นจริงหรือเท็จจนกว่าจะได้เจอเองกับตัวเอง แม้ว่าเราจะอาจจะไม่ได้มองเห็นพวกเขาอย่างชัดเจนมากนัก ไร้รูปกายปรากฎที่จับต้องได้ อย่างไรก็ตามสำหรับเราแล้ว สามารถรู้สึกและรับรู้ได้ถึงการมีอยู่ของพวกเขา

ป.ล.ขอย้ำส่งท้ายอีกครั้งว่าเรื่องเล่าดังกล่าวเป็นประสบการณ์ตรงของผู้เขียน นำมาเขียนเล่าเพื่อการเรียนรู้ เคารพความคิดเห็นที่แตกต่าง และการอยู่ร่วมกันในสังคม

Reference & Bibliography

  • ขอขอบคุณภาพประกอบ Pexels: Free Stock Photos pexels.com
  • ขอขอบคุณภาพประกอบ Unsplash: Beautiful Free Images & Pictures unsplash.com

Additional Information

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา JR211 Creative Writing for Journalism ภาคการศึกษาที่ 1/2 2564

Writer

นักศึกษาสาขาวิชาวิทยุกระจายเสียง วิทยุโทรทัศน์ และการผลิตสื่อสตรีมมิ่ง คณะนิเทศศาสตร์ มหาวิทยาลัยกรุงเทพ