กระแสของฟุตบอลทีมชาติไทย ขณะนี้ถือว่าอยู่ในจุดที่กลับมาฟีเวอร์อีกครั้ง ซึ่งทำให้เหล่าแฟนฟุตบอลชาวไทยให้ความสนใจติดตามอยู่ไม่น้อย เนื่องจากได้เห็นถึงการเปลี่ยนแปลงของ สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ภายใต้การบริหารงานของ พล.ต.อ.สมยศ พุ่มพันธุ์ม่วง ประมุขลูกหนังไทย พร้อมกับภารกิจที่จะนำพาฟุตบอลทีมชาติไทย กลับมาทำผลงานได้เข้าตาผู้ชม และภารกิจที่ยิ่งใหญ่คือศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย ที่มีความสำคัญไม่น้อย กับเป้าหมายที่ต้องผ่านเข้าไปเล่นรอบ 12 ทีมสุดท้ายให้ได้

การแข่งขันแย่งชิงตำแหน่งเบอร์หนึ่งของอาเซียน มีความเข้มข้นไม่แพ้กัน โดยเราจะเห็นการถกเถียงในประเด็นนี้ตามกลุ่มต่างๆ บนโลกโซเชี่ยล ที่เปรียบดั่งสนามรบของเหล่าบรรดาแฟนบอลของแต่ละชาติ กับนานาคอมเมนต์ คำถาม และวลี ที่สามารถพบเห็นได้บ่อยที่สุด เช่น ตอนนี้ใครคือ เดอะ เบสต์ ออฟ อาเซียน ? ข้าคือเบอร์หนึ่งของอาเซียน !!

กระแสที่มาแรงของทัพ ‘ช้างศึก’ ในครั้งนี้ ทำให้เราขอเจาะลึกถึงภารกิจการทวงคืนเบอร์หนึ่งอาเซียนของฟุตบอลทีมชาติไทย ย้อนดูไทม์ไลน์ที่เกิดขึ้น และวิเคราะห์ถึงสาเหตุสำคัญของการพัฒนาทีมชาติไทย

ขอขอบคุณภาพ ช้างศึก ทีมชาติไทย

ฟุตบอลทีมชาติไทย ขึ้นชื่อว่าเป็นชาติมหาอำนาจของวงการกีฬาลูกหนังในดินแดนเอเชียตะวันเฉียงใต้ โดยยึดเป็นเบอร์หนึ่งในแถบอาเซียนมาอย่างยาวนาน ทั้งในเรื่องของการบริหาร ศักยภาพของนักฟุตบอลที่มีความเป็นมืออาชีพ รวมไปถึงความสำเร็จในรายการที่สำคัญมากมายอย่าง ฟุตบอล อาเซียน คัพ 4 สมัย และเหรียญทองฟุตบอลซีเกมส์ 14 สมัย

ความเป็นเบอร์หนึ่งอาเซียนของทีมชาติไทยในหลายยุคสมัย จึงทำให้ชาติอื่น เริ่มมีการพัฒนาศักยภาพของทีมกันมากขึ้น เพื่อเป้าหมายที่จะล้มทีมชาติไทยให้ได้ ไม่ว่าจะเป็นการสร้างนักฟุตบอลดาวรุ่งเพื่ออนาคต การดึงบุคลากรที่มีความเป็นมืออาชีพเข้ามาช่วย โดยเฉพาะ ‘ทีมชาติเวียดนาม’ เป็นชาติที่มีความมั่นใจว่าจะล้มทีมชาติไทย ลงจากบัลลังก์ได้ด้วยตัวเอง

ขอขอบคุณภาพ Vietnam Football

ทีมชาติเวียดนาม ชาติเดียวที่ล้มไทย ลงจากบัลลังก์

พลพรรคดาวทอง หรือทีมชาติเวียดนาม เป็นชาติที่เป็นศัตรูเบอร์หนึ่งของทีมชาติไทย พวกเขาสร้างเซอร์ไพร์ด้วยการขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งของอาเซียน พร้อมกับรั้งอันดับที่ 97 ของโลก ตามการจัดอันดับของฟีฟ่า ในขณะนี้ พวกเขาสามารถล้มทีมชาติไทยได้ทุกชุด ไล่มาตั้งแต่ U15, U19, U23 และชุดใหญ่ พร้อมกับขึ้นครองบัลลังก์เจ้าอาเซียนอย่างภาคภูมิใจ

ทีมชาติเวียดนาม เป็นทีมที่เปี่ยมไปด้วยแพชชั่นของนักเตะ และโค้ช มีสไตล์การเล่นเป็นทีมเวิร์คดุดัน วิ่งสู้ฟัดถวายหัว จนกลายเป็นเครื่องหมายการค้าอันดับหนึ่ง นักเตะส่วนใหญ่ล้วนเป็นดาวรุ่งที่มาจากทีมชุดเยาวชนในรุ่นต่าง ๆ จนสามารถไต่ขึ้นมาเป็นความหวังใหม่ในทีมชุดใหญ่ได้

นอกจากนี้สิ่งที่ทำให้ทีมชาติเวียดนาม มีฟอร์มการเล่นที่ดุดัน คือ การวางแท็กติกที่เฉียบขาดของ ปาร์ค ฮัง ซอ กุนซือชาวเกาหลีใต้วัย 60 ปี ที่ชาวเวียดนามต่างยกย่องเปรียบดั่งเทพเจ้าที่ปลุกพวกเขาให้ฟื้นคืนชีพขึ้นมาได้ ด้วยแท็กติกการเล่นที่มีความเคี่ยว ดุดัน การใช้จิตวิทยาเพื่อปลุกเร้านักฟุตบอลให้มีความคึกฮึกเหิม

ปาร์ค ฮัง ซอ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติเวียดนาม ขอขอบคุณภาพ ช้างศึก ทีมชาติไทย

ด้วยความร้อนแรงหลายอย่างของทีมชาติเวียดนาม ทำให้เหล่าบรรดาชาติในเอเชีย เริ่มจับตามองพวกเขาเป็นพิเศษ และประมาทไม่ได้เด็ดขาดในยามที่จะต้องลงทำศึกพบกับพวกเขา

‘โค้ชโต่ย’ ศิริศักดิ์ ยอดญาติไทย กุนซือขัดตาทัพทีมชาติไทย เคยแถลงข่าวให้สัมภาษณ์หลังจบเกมส์ที่ทัพ ‘ช้างศึก’ เปิดสนาม ช้าง อารีน่า พ่ายต่อ ทีมชาติเวียดนาม ในศึก คิงส์ คัพ 2019 เมื่อช่วงต้นเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา ซึ่งมีสื่อมวลชนชาวไทยท่านหนึ่งได้ตั้งคำถามถึงความพ่ายแพ้ครั้งนี้ถือว่าเป็นการยอมศิโรราบแล้วหรือไม่ เพราะส่วนใหญ่เป็นทางฝั่งทีมชาติไทยที่ทำผลงานได้ดีมาโดยตลอด จากสถิติการพบกัน 9 เกม ไทย ชนะ 5 เสมอ 3 แพ้ 1

กุนซือวัย 50 ปี ได้กล่าวว่า “รู้สึกผิดหวังที่ผลการแข่งขันออกมาเป็นแบบนี้ ทั้งที่เรามีโอกาสหลายต่อหลายครั้ง แต่ต้องมาโดนลงโทษในช่วงเวลาที่ไม่มีโอกาสได้แก้ตัวเลย แต่ผมก็บอกกับนักเตะในทีมแล้วว่า ภารกิจของเรายังไม่จบ เรายังต้องลงไปสู้กับ อินเดีย ในเกมชิงที่สาม เราต้องเรียกสมาธิกลับมา ลืมความผิดหวัง และโฟกัสเกมต่อไปให้เร็วที่สุด”

“ความพ่ายแพ้ในวันนี้ยังไม่ได้หมายความว่าเรายอมแพ้ต่อ เวียดนาม แล้ว ผมยังไม่ยอมศิโรราบต่อพวกเขา ผมยังเชื่อว่ารูปเกมของ ไทย ดีกว่าหากวัดจากการครองบอล หรือจังหวะเข้าทำ แต่ในเมื่อฟุตบอลตัดสินกันที่ประตู เราเองก็คงต้องหาทางปรับต่อไป ผมมองว่าตัวชี้วัดอนาคตของฟุตบอลก็คือ แท็กติก และวิธีการเล่น ไม่ใช่ผลการแข่งขันในวันนี้”

ความปราชัยต่อทีมชาติเวียดนาม ในศึก คิงส์ คัพ 2019 ที่ผ่านมา เกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ของเหล่าแฟนบอลบนโลกโซเชี่ยลเป็นอย่างมาก ในเรื่องของการวางแผนแก้เกมของ ‘โค้ชโต่ย’ รวมถึงการเรียกตัวนักเตะเข้ามาติดทีม ทำให้ทีมชาติไทยต้องรีบย้อนกลับมามองดูที่ตัวเราเองอีกครั้ง จากที่เรายึดเป็นเบอร์หนึ่งมาโดยตลอด มาจนถึงตอนนี้ถูกเวียดนามแซงหน้าขึ้นไปเป็นที่เรียบร้อย บวกกับชาติอื่น ที่กำลังตามหลังมาติด ๆ หรือว่าเรามีการพัฒนาที่ยังอยู่กับที่

สิ่งที่เป็นหนทางเดียวในการจะกลับมาสัมผัสกับความยิ่งใหญ่ได้อีกครั้งของทีมชาติไทย คงหนีไม่พ้นกับคำว่า “การเปลี่ยนแปลง” ที่จะต้องเกิดขึ้น

การเปลี่ยนแปลงของทัพ ‘ช้างศึก’ เกิดขึ้นแล้ว

การขยับขึ้นมาเป็นเบอร์หนึ่งอาเซียน กับการติด 1 ใน 100 อันดับโลก ของเวียดนาม ศัตรูที่รักที่ขับเคี่ยวกันมาตลอด พร้อมกับกระแสกดดันจากเหล่าแฟนบอลที่ต้องการเห็นการเปลี่ยนแปลง ทำให้สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทยไม่นิ่งเฉย เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง ทั้งระบบการบริหาร รวมไปถึงตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอน และสตาฟโค้ช เพื่อที่กลับมาทวงคืนตำแหน่งเจ้าอาเซียนอีกครั้งให้ได้

สิ่งที่เริ่มมีการเปลี่ยนแปลงในส่วนแรก คือเรื่องระบบการบริหาร สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ประกาศแต่งตั้ง การ์เลส โรมาโกซา ชาวสเปน เข้ามาทำหน้าที่เป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคคนใหม่ของทีมชาติไทย เขาผ่านประสบการณ์มาอย่างมากมาย โดยในปี 1997 เคยเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมเยาวชน บาร์เซโลนา ก่อนจะก้าวขึ้นไปเป็น ผู้อำนวยการโรงเรียน ของสโมสรบาร์เซโลนา และยังเป็นผู้ช่วยประธานเทคนิค ของสหพันธ์ฟุตบอลกาตาลัน หลังจากนั้น เคยเป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัยอูนิเวอร์ซิตัต เด วิค สาขาวิทยาศาสตร์การกีฬา และเป็นผู้วางปรัชญาการเล่นฟุตบอลแบบ เอคโคโน่

นอกจากนี้ เจ้าตัวยังเป็นที่ปรึกษาด้านเทคนิคของสโมสร ปาชูก้า ในประเทศเม็กซิโก รวมถึงสมาคมฟุตบอลจีน ในการให้คำแนะนำเรื่องการพัฒนาเยาวชน รุ่นอายุไม่เกิน 15 ปี และ17 ปี ก่อนจะเข้ารับตำแหน่งผู้อำนวยการเทคนิคของ ปารีส แซงต์ แชร์กแม็ง ตั้งแต่ช่วงเดือนสิงหาคม 2015 ถึงเดือนตุลาคม 2018

การ์เลส โรมาโกซา ผู้อำนวยการเทคนิคทีมชาติไทย ขอขอบคุณภาพ FA Thailand

โรมาโกซา ได้ให้สัมภาษณ์หลังจากที่เข้ามารับตำแหน่งผู้อำนวยการเทคนิคคนใหม่ของทีมชาติไทย ถึงการนำประสบการณ์มาพัฒนาวงการฟุตบอลไทย การทำความเข้าใจถึงภาพรวมระบบ โครงสร้าง วัฒนธรรม และพัฒนาทีมทุกชุดเป็นไปในแนวทางปรัชญาเดียวกันทั้งนักเตะและโค้ช

“ผมสามารถนำความรู้และประสบการณ์เกี่ยวกับฟุตบอลมาช่วยพัฒนาได้ ซึ่งผมต้องเข้าใจโครงสร้างและวัฒนธรรมก่อน เราต้องลงมือทำควบคู่ไปด้วย ผมสามารถช่วยได้ทั้งในส่วนของนักเตะ โค้ช และสโมสรฟุตบอลไทย เราต้องผลักดันให้ทุกอย่างประสบความสำเร็จ ทำให้ทีมชาติไทยมีผลงานดีกว่าเดิม”

“ขั้นตอนแรก ผมต้องวิเคราะห์ภาพรวมทั้งหมดก่อน ผมอยากให้ทีมชาติไทยประสบความสำเร็จ ก้าวไปข้างหน้า เราต้องมีปรัชญา มีเทคโนโลยีเข้ามาช่วย และแนวทางของเราที่ชัดเจน เราอยากจะสร้างทุกอย่างขึ้นมา แต่สิ่งสำคัญคือเราต้องเข้าใจบริบททั้งหมดก่อน”

“เราต้องพัฒนาทุกอย่างไปในทิศทางเดียวกัน ไล่ตั้งแต่ รุ่นอายุ 14, 16 และ 18 ปี ทุกทีมต้องเล่นอยู่ในปรัชญาเดียวกัน ผมพยายามที่จะสร้างให้ทีมทุกชุดได้ทำงานร่วมกัน เพื่อให้ผลงานออกมาในทางที่ดี และอยู่ในเส้นทางเดียวกัน และไม่ใช่แค่ตัวของนักเตะ แต่ยังรวมถึงโค้ช ที่ต้องไปในทิศทางเดียวกัน เพื่อก้าวไปข้างหน้าด้วยกัน” โรมาโกซา กล่าว

หลังจากที่ได้ การ์เลส โรมาโกซา เข้ามาเป็นผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิคคนใหม่ของทีมชาติไทยแล้ว ตามมาด้วย ตำแหน่งหัวหน้าผู้ฝึกสอน ตัดสินใจดึง อากิระ นิชิโนะ เข้ามาคุมทัพแทนที่ของ มิโลวาน ราเยวัช กุนซือชาวเซอร์เบีย ที่ถูกปลดออกจากตำแหน่งเมื่อช่วงต้นเดือนมกราคม ที่ผ่านมา

กุนซือชาวญี่ปุ่นรายนี้ ผ่านประสบการณ์ในการคุมทีมทีมชาติญี่ปุ่น ลุยศึกฟุตบอลโลก 2018 ที่รัสเซีย มาแล้ว รวมถึงผ่านประสบการณ์มาหลายสโมสรในญี่ปุ่น อย่าง คาชิว่า เรย์โซล, กัมบะ โอซาก้า, วิสเซล โกเบ และนาโกย่า แกรมปัส เรียกได้ว่าเป็นอีกหนึ่งกุนซือระดับท็อปของเอเชียที่สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ตัดสินใจทาบทามมาคุมทีมในครั้งนี้

อากิระ นิชิโนะ หัวหน้าผู้ฝึกสอนทีมชาติไทย (ขวา) ขอขอบคุณภาพ FA Thailand

นิชิโนะ ได้ให้สัมภาษณ์ในงานแถลงข่าวเปิดตัวคุมทัพ ‘ช้างศึก’ ไว้ว่า “รู้สึกเป็นเกียรติอย่างมาก ผมมีโอกาสได้ไปดูว่าทีมไทยแต่ละทีมเล่นเป็นอย่างไร จากการที่ได้เจอท่านนายกสมาคมฯ ก็รับทราบดีว่า สมาคมฯ มีโครงสร้างใหม่ และนายกฯ มีความมุ่งมั่นอย่างจริงจังที่จะพัฒนาทีม เป็นความท้าทายอย่างหนึ่งของผม”

“ขอขอบคุณทางสมาคมฯ ที่มีความตั้งใจ มุ่งมั่นในการพัฒนาฟุตบอล และให้โอกาส ผมมีความสุขที่ได้ทำงานเป็นโค้ชอีกครั้ง จากที่ผมทำงานที่ญี่ปุ่นมานาน ผมมีประสบการณ์ อยากที่จะนำกลับมาทบทวน ผมอยากบอกในวันนี้เลยว่า ผมยอมรับข้อเสนออย่างเป็นทางการแล้ว ผมรู้สึกถึงความรับผิดชอบที่มากขึ้น ที่สำคัญที่สุดคือ ผมมีความสุขที่ได้กลับมาทำทีมฟุตบอลอีกครั้งหนึ่ง”

เขาอธิบายรายละเอียดให้ฟังเพิ่มเติม “ผมมีประสบการณ์ทำทีมในเจลีก และทีมชาติญี่ปุ่นมา แต่การรับงานเป็นหัวหน้าผู้ฝึกสอนของทีมฟุตบอลต่างชาติ ผมก็ทราบดีว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เพราะทีมชาติไทยต้องแข่งรอบคัดเลือกในหลายรายการ ผมเพิ่งดูการเแข่งขันของฟุตบอลไทย ของนักฟุตบอลไทย อาจจะได้ดูไม่กี่นัด แต่รู้สึกว่างานนี้ท้าทายมาก และผมตระหนักดีในความสำคัญของบทบาทของผม”

ทั้งนี้นิชิโนะเน้นย้ำว่า “ผมจะต้องทำความเข้าใจทีมชาติไทยให้ลึกซึ้งก่อน เพราะช่วงนี้ยังเป็นช่วงของการแข่งขันลีกอยู่ ผมได้ไปดูการแข่งขันมาบ้าง คิดว่าคงมีงานต้องทำอีกมาก แต่ผมคงไม่สามารถไปรบกวนการแข่งขันระหว่างฤดูกาลได้ บางทีผมไปดูการแข่งขันก็ไม่ได้ใช้ล่าม ยังไม่มั่นใจว่าสิ่งที่สื่อออกไปจะเข้าใจกันมากน้อยแค่ไหน ต่อไปผมจะฝึกตัวเองตรงนี้ให้มากขึ้น เพราะการจะสร้างความสำเร็จไม่ใช่เรื่องง่าย ผมจะตั้งใจทำงานอย่างเต็มที่ครับ”

ส่วนสุดท้ายในการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ คือ การที่ได้เห็นนักเตะหน้าใหม่ที่พร้อมเข้ามาเป็นกำลังหลักของทีมได้ในอนาคต ซึ่งได้เห็นกันไปแล้วภายหลังจากที่มีการประกาศเรียก 23 ขุนพล ลุยศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย 2 เกมแรก ที่พบกับทีมชาติเวียดนาม และทีมชาติอินโดนีเซีย อย่าง เอกนิษฐ์ ปัญญา, ศิวกรณ์ เตียตระกูล, นิติพงษ์ เสลานนท์ และพิธิวัต สุขจิตธรรมกุล

นักเตะหน้าใหม่ที่ถูกเรียกขึ้นมาติดทีมชาติไทยชุดใหญ่เหล่านี้ ถ้าหากใครได้ติดตามผลงานในระดับสโมสร จะเห็นว่าส่วนใหญ่ล้วนทำผลงานได้ดี ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของสโมสร จนทำให้มีกระแสเรียกร้องจากแฟนบอลส่วนใหญ่ ให้ลองเลือกมาติดทีมชาติไทยดูบ้าง

การพัฒนาฟุตบอลให้ยั่งยืน

สองส่วนข้างต้นที่ได้ยกมา เป็นเพียงแค่ส่วนหนึ่งเท่านั้น แต่สิ่งสำคัญ คือ การพัฒนาเยาวชนให้ได้เรียนรู้ในพื้นฐานการเล่นฟุตบอลที่ถูกต้อง และการเน้นฝึกกองหน้าให้จบสกอร์ได้อย่างเฉียบคม

พื้นฐานการเล่นฟุตบอลมีความสำคัญเป็นอย่างมาก เราจะเห็นถึงปัญหานี้กับเด็กไทยอยู่พอสมควร ยกตัวอย่างที่เห็นคือ ทีมเยาวชนของโรงเรียน จะเน้นสร้างทีมเพื่อส่งเด็กไปแข่งขันตามรายการมากกว่าการฝึกพื้นฐานการเล่นฟุตบอลให้มีความแข็งแกร่ง

เรื่องของจังหวะการจบสกอร์ของทีมชาติไทย ยังคงเป็นปัญหาเบอร์หนึ่งในทุกรุ่นอายุ จากที่ติดตามดูไทยลีกมาตลอด ได้เห็นว่ากองหน้ายังขาดสัญชาตญาณความเป็นเพชรฆาตในกรอบเขตโทษ เพราะเหตุนี้ทำให้หลายสโมสรในไทย ตัดสินใจเลือกใช้บริการกองหน้าต่างชาติมากขึ้น แต่สิ่งที่เกิดขึ้นคือทำให้นักเตะไทยมีโอกาสเบียดแย่งตำแหน่งยากขึ้น ถ้าหากไม่เก่งจริง โดยปัญหานี้จะต้องแก้ไขต่อไปให้ได้โดยการลองเสี่ยงให้โอกาสในการลงสนาม

อย่างไรก็ตาม สมาคมกีฬาฟุตบอลแห่งประเทศไทย ยังคงเดินหน้าพัฒนาในแต่ละด้านอยู่อย่างต่อเนื่อง ทั้งในเรื่องของนักฟุตบอล และบุคลากรด้านฟุตบอล ไม่ว่าจะเป็นการเปิดคลินิกสอนฟุตบอลให้กับเยาวชน รวมไปถึงการเปิดอบรบโค้ชในระดับต่างๆ เพื่อยกระดับ และให้ดูมีความมืออาชีพมากขึ้นต่อไป

ขอขอบคุณภาพ ช้างศึก ทีมชาติไทย

เส้นทางที่เราต้องติดตามต่อไปกับภารกิจทวงคืนตำแหน่งเบอร์หนึ่งอาเซียนของทีมชาติไทยชุดใหญ่ ในยุคของ อากิระ นิชิโนะ คือการทำผลงานให้ออกมาให้ดีที่สุดใน ศึกฟุตบอลโลก 2022 รอบคัดเลือก โซนเอเชีย เรียกศรัทธาจากแฟนบอลกลับมาอีกครั้ง เห็นได้ชัดเจนในเกมแรกที่ทีมชาติไทย เปิดบ้านพบกับทีมชาติเวียดนาม ที่มีแฟนบอลกลับเข้ามาชมเกมอย่างหนาตา การเปลี่ยนแปลงเป็นจุดสำคัญที่ทำให้แฟนบอลอยากที่จะกลับเข้ามาชมเกมในสนามแข่งขันอีกครั้ง

ไม่ว่าจะแพ้ ชนะ เสมอ พวกเราชาวไทยทุกคน ก็พร้อมที่จะหนุนหลังตามให้กำลังใจขุนพลทีมชาติไทย อยู่เสมอ ในทุกการแข่งขัน พวกเราต่างก็อยากเห็นทีมชาติไทยได้มีโอกาสได้ไปเล่นในฟุตบอลโลก รอบสุดท้าย สักครั้งในชีวิตเหมือนกัน และยังเชื่อว่าสิ่งสำคัญที่จะทำให้ ‘ช้างศึก’ ตัวนี้ จะกลับมามีความกระหาย มีชีวิตชีวาขึ้นมาอีกครั้ง พร้อมที่จะออกรบโดยที่ไม่เกรงกลัวใคร คือ ‘กำลังใจของผู้เล่นคนที่ 12’ ที่จะเป็นพลังในการขับเคลื่อนไปสู่เป้าหมายชัยชนะได้

Reference & Bibliography

  • (2562, 5 มิถุนายน). รูปเกมเราดีกว่า! โค้ชโต่ย ลั่นยังไม่ยอมศิโรราบต่อ เวียดนาม – รับสุดผิดหวังโดนลงโทษท้ายเกม. TrueID Sport, สืบค้นเมื่อ 11 กันยายน 2562, จาก http://sport.trueid.net/detail/183421
  • (2562, 12 มิถุนายน). สมาคมฯ ตั้ง การ์เลส โรมาโกซา นั่งผู้อำนวยการฝ่ายเทคนิค. FA Thailand, สืบค้นเมื่อ 11 กันยายน 2562, จาก http://fathailand.org/news/4290
  • (2562, 19 กรกฎาคม). เปิดใจครั้งแรก! นิชิโนะ รับยังต้องศึกษาฟุตบอลไทยอีกเยอะ – ตั้งเป้าพา ช้างศึก ไปฟุตบอลโลก. TrueID Sport, สืบค้นเมื่อ 11 กันยายน 2562, จาก http://sport.trueid.net/detail/187087
  • ช้างศึก ฟุตบอลทีมชาติไทย https://www.facebook.com/changsuek

Additional Information

ผลงานชิ้นนี้เป็นส่วนหนึ่งของรายวิชา CJR411 Newspaper Workshop ภาคการศึกษาที่ 1/2 2562

Writer

บรรณาธิการโต๊ะกีฬาบ้านกล้วย หนุ่มไฟแรงที่ชื่นชอบติดตามเทรนด์กีฬาอยู่ตลอดเวลา พร้อมแล้วที่จะอาสาเสิร์ฟข้อมูลความเคลื่อนไหว รวมถึงบทความเจาะลึกจัดเต็มในแวดวงกีฬา ให้ได้ลิ้มลอง